พูด ยืน เดิน นั่ง นอนไม่ใช่เราแล้วคืออะไร


    ผู้ฟัง อย่างที่กล่าวว่าไม่มีตัวเรา ทีนี้ในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าเราจะพูด เดิน ยืน นั่ง นอน ก็ไม่ใช่ลักษณะของความเป็นตัวเราใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ จริงๆ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง มีเหตุ และปัจจัยทำให้เราจะต้องคิดทำสิ่งเหล่านั้น

    ท่านอาจารย์ เราเรียนจิตประเภทต่างๆ หลังจากจิตเห็นแล้ว จิตคิดใช่ไหม แล้วเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน เดี๋ยวนี้เองหลังจากที่เห็นแล้วก็คิด จะมีเราอีกต่างหากหรือว่าเป็นจิตที่เกิดดับสืบต่อ หลังจากเห็นแล้วทางตา จักขุทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น และจิตทางมโนทวารก็รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อ หลายวาระ และก็ยังจำไว้ด้วยว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นั่นคือคิด

    ผู้ฟัง แต่ว่าในวันหนึ่งๆ มีเหตุที่จะต้องให้เราไปทำทุกอย่างเลย ลืมตาขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่รูป อะไรทำได้ ถ้าไม่ใช่นามอะไรคิดได้ คิดที่จะทำ และก็มีการกระทำ เพราะฉะนั้นคิดเป็นอะไร และการกระทำเป็นอะไร เป็นเรา หรือว่าเป็นจิต หรือว่าเป็นเจตสิกที่เกิดขึ้น คิด แล้วเป็นปัจจัยให้รูปนั้นไหวไปตามความคิด เพราะว่าถ้าไม่มีรูปเลย จิตก็คิดไป รูปอะไรก็ไม่มีที่จะไหวไปทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่า ไม่ได้มีแต่รูป ถ้ามีแต่รูปๆ ก็เคลื่อนไหวทำอะไรเป็นกุศล อกุศลใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น ทำกรรมอะไรไม่ได้เลย แต่เพราะเหตุว่า มีจิต และเจตสิกซึ่งไม่ใช่รูป จิต เจตสิกเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะทำอะไร ขณะนั้นเป็นความต้องการสิ่งที่จะทำให้รูปไหวไป โดยที่เราไม่ต้องคิดก่อน อย่างคนที่จะลุกขึ้นยืน ก็ไม่ต้องมานั่งคิดว่ายืน แต่ว่ายืนแล้วเพราะว่าจิตต้องการจะยืนมีเป็นปัจจัยให้รูปนั้นไหวขึ้นเป็นอาการยืน

    ผู้ฟัง ก็หมายถึงลักษณะสภาพธรรมในชีวิตประจำวันแต่ละขณะจิต แต่ว่าถ้าสมมติว่าเป็นวันหนึ่งๆ ที่เราคิดวางแผนที่จะทำอย่างโน้นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็คือจิตคิดๆ อะไรก็คือจิตคิด รูปคิดไม่ได้ และจิตเกิดตลอดเกิดแล้วก็ดับ ก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อ แล้วก็ดับ และก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ถ้าไม่เรียกชื่อว่าเป็นคุณสุกัญญาก็เป็นจิต เจตสิก ใช่ไหม ถ้าไม่เรียกชื่อว่าคุณพิศมัย ก็เป็นจิต เจตสิก เพียงแต่ว่าทั้งหมดเป็นจิต เจตสิกซึ่งเรียกชื่อต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงจิต เจตสิก อะไรขณะไหน ขันธ์ไหน ของใคร

    ผู้ฟัง พอศึกษาธรรมไปถึงจุดๆ หนึ่ง ทุกคนก็จะไปลงที่ว่าลักษณะของความที่ไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ คิดเท่านั้นว่าไม่มีตัวตน ถ้าไม่คิดว่าไม่มีตัวตน ก็คิดเรื่องอื่นขณะที่คุณสุกัญญากำลังพูดว่าไม่มีตัวตน เพราะจิตคิดคำนี้ เสียงเปล่งออกมาเป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดจากจิตไหวไปกระทบฐานของเสียง โดยไม่ต้องตระเตรียมอะไรเลยทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้าในขณะใดไม่ได้คิดว่าไม่มีตัวตน ขณะนั้นก็คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น คิดก็คือคิด ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็คือคิด เพราะว่าไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

    ผู้ฟัง อย่างนั้นสภาวะที่ไม่มีตัวตนอยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูป ตัวอยู่ตรงไหน ถ้าแข็งกำลังปรากฏ ตัวอยู่ตรงไหน แข็งเป็นแข็ง เป็นเราหรือเปล่า แล้วตัวตนอยู่ที่ไหน ขณะนี้กำลังเห็น แต่ก่อนไม่เคยรู้เลย เป็นลักษณะของธาตุรู้ซึ่งต่างกับรูปธาตุซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นามธาตุคือธาตุรู้ มีจริงๆ ต่างกับรูปธาตุเพราะรูปธาตุไม่สามารถจะรู้อะไร แต่นามธาตุเป็นธาตุต่างหากจากรูป และมีจริง ใครจะบังคับให้ธาตุนี้ไม่เกิดก็ไม่ได้เพราะธาตุนี้มี ถ้าคิดจะบังคับไม่ให้ธาตุนี้เกิด ก็เหมือนกับบังคับไม่ให้แข็งเกิด ไม่ให้หวานเกิด คิดที่จะบังคับอย่างนั้น แต่ความจริงบังคับแข็งไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ บังคับหวานไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ฉันใด บังคับนามธาตุไม่ให้เกิดขึ้นรู้ก็ไม่ได้ นี่คืออนัตตา ไม่ใช่เรา ความหมายของไม่ใช่ตัวตนก็คือ เพราะเหตุว่า เป็นธาตุหรือเป็นธรรมซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ซึ่งเมื่อประมวลแล้วก็คือนามธาตุประเภทหนึ่ง และก็รูปธาตุอีกประเภทหนึ่ง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 167


    หมายเลข 9904
    26 ม.ค. 2567