ชั่วขณะที่ปรากฎ
ผู้ฟัง
ส. ที่จริงแล้วรูป เป็นส่วนที่แยกขาดจากนามธรรม ไม่ว่ารูปจะอยู่ตรงไหน ที่ไหนก็ตาม เพราะว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่เมื่อมีสภาพรู้ หรือ จิต เจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรม นามธรรมก็จะต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วเมื่อมีรูปปรากฏ ทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้น นามธรรมก็ต้องรู้รูป แต่ว่าการที่จะรู้มหาภูตรูป จะรู้ได้เฉพาะทางกายเท่านั้น ทางตา ไม่สามารถจะเห็นมหาภูตรูปได้ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ไม่สามารถเลย
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของมหาภูตรูปได้ก็มีทางเดียว คือเมื่อกายกระทบกับมหาภูตรูป นี่คือความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ว่า จิต เจตสิก เป็นสภาพรู้ แล้วมหาภูตรูปก็มี แต่การที่จะรู้มหาภูตรูปได้ต้องรู้เฉพาะทางกาย เมื่อกระทบกับกายเท่านั้น
ผู้ฟัง
ส. เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ การศึกษาธรรม ถ้าจะศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วเราค่อยๆ เข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” ขณะนี้เวลาฟัง แล้วพยายามน้อมใจไปที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่า เรากำลังพูดถึงธรรมทั้งหมดเลย ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีเราแต่มีสภาพรู้ซึ่งเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้วก็รู้สิ่งที่ปรากฏ ซึ่งจะต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ขณะที่กำลังเห็น ต้องมีจักขุปสาท ซึ่งจักขุปสาทก็ต้องเกิดกับมหาภูตรูป แต่ตัวมหาภูตรูปไม่เป็นจักขุปสาท ไม่เป็นกายปสาท เป็นแต่เพียงรูปซึ่งเป็นที่ตั้ง ที่รองรับ เป็นที่อาศัยเกิดของรูปอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ที่เราจะรู้ว่า มีรูปในขณะนี้ที่กำลังปรากฏทางตา ไม่มีทางที่จะไปรู้ถึงมหาภูตรูปเลย เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังอาศัยจักขุปสาท ซึ่งกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ เป็น ๑ ขณะของโลกทางหนึ่ง คือ โลกทางตา ถ้าเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ไม่มีใครที่เห็น ที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ชั่วขณะที่จิตเห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ แล้วขณะต่อไปจิตก็เกิดสืบต่อ จนกระทั่งความทรงจำทำให้รู้สึกว่า มีเรา แล้วก็ยากที่จะไถ่ถอน เพราะว่าเหมือนเราเห็นอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น เวลาฟังเรื่องของสภาพธรรมทางตา ก็ทิ้งทางอื่นหมด ให้เข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเห็น แล้วก็ดับ ก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องมหาภูตรูป แต่เวลาที่มีกายปสาทกระทบกับธาตุที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ลักษณะ ๓ อย่างของมหาภูตรูปปรากฏ ถ้าไม่มีขณะที่กายปสาทกระทบกับมหาภูตรูปหนึ่งมหาภูตรูปใดแล้วปรากฏ มหาภูตรูปมีก็เหมือนไม่มี คือการที่จะเอาเราออก แล้วก็ให้เหลือเพียงชั่วขณะที่สภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏ มีแต่ในความทรงจำในเรื่องในราวเท่านั้น แต่สภาพธรรมจะปรากฏจริงๆ ต่อเมื่อกระทบกับปสาท ถ้าเป็นรูป
ผู้ฟัง
ส. เรื่องคิด เรื่องเข้าใจ แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏต้องปรากฏชั่วขณะที่เกิดแล้วดับ ขณะนี้มหาภูตรูปก็กำลังเกิดดับ โดยไม่ปรากฏขณะที่กำลังเห็น ขณะนี้ มหาภูตรูปก็เกิดดับโดยไม่ปรากฏในขณะที่ได้ยินเสียง แต่ลักษณะของมหาภูตรูปซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ต้องกระทบกายปสาทเมื่อไร
ผู้ฟัง
ส. กำลังลิ้มรส ขณะที่รสปรากฏ ขณะนั้นไม่เกี่ยวกับเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ผู้ฟัง
ส. แต่ต้องแยก ขณะที่รสปรากฏ สั้นมากก็จริง หรือขณะที่เสียงปรากฏก็สั้น ทุกขณะปรากฏสั้นมาก ขณะที่ไม่มีชิวหาปสาทกระทบกับรส รสจะปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่รสปรากฏ ชั่วขณะนั้นมหาภูตรูปใดๆ ก็ไม่ปรากฏ
ผู้ฟัง
ส. คุณสุรีย์ เคยรับประทานมะแว้ง ไหมคะ
ผู้ฟัง
ส. ขมไหมคะ ขมมากเลย ขณะที่รสขมปรากฏ เย็นร้อนหรือเปล่า
ผู้ฟัง
ส. เพราะฉะนั้น เราถึงจะรู้ว่า ขณะใดที่รสปรากฏ ชั่วขณะนั้นทางลิ้น คือชิวหาปสาท