เราอยู่ในโลกของความคิด


    ผู้ฟัง    ที่เข้าใจตอนนี้ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกไหม ก็คือว่า ภวังค์จิต หรือปฏิสนธิจิตในเวลาขณะที่เราหลับ แสดงว่าตอนนี้จิตจะไม่มีการดับ

    ส.   เกิดดับค่ะ ธรรมเปลี่ยนไม่ได้  จิตแต่ละขณะ ไม่ว่าจิตของใคร เมื่อไร จะมีอนุขณะ ขณะย่อย ๆ ๓ ขณะ คือ อุปาทขณะ คือ ขณะที่เกิด  ฐีติขณะ คือ ขณะที่ยังไม่ดับ และภังคขณะ คือขณะที่ดับ ๓ อย่างนี่จะแสดงไว้เลยว่า รูปประเภทไหนจะเกิดขณะไหนของอนุขณะของจิต  แต่ว่าจิตทุกขณะ ไม่ว่าจิตของใคร จิตของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี ๓ อนุขณะ อุปาทขณะเกิด ไม่ใช่ขณะดับ ไม่ใช่ขณะตั้งอยู่  ฐีติขณะ ไม่ใช่ขณะเกิด ไม่ใช่ขณะดับ ภังคขณะ คือขณะดับ ไม่ใช่ขณะเกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่  แม้ว่าจะมีอายุสั้นมาก รวดเร็วมากอย่างไร ก็ยังมีอนุขณะ ๓ ขณะ

    นี่คือจิตของทุกคนเวลานี้ซึ่งไม่รู้ตัวเลย แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้  พิสูจน์ได้ ด้วยการศึกษาค่อย ๆ เข้าใจขึ้น แต่ว่าจะต้องอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรมตามกำลังของปัญญาที่สะสมมา

    เพราะฉะนั้น เวลานี้เราเกือบจะไม่ทราบเลยว่า ความคิดของเรารวดเร็วขนาดไหน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าเพียงไม่มีความคิดเกิดต่อ จะไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันต่าง ๆ แต่พอมีการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน จำได้เลย  คนนี้ชื่ออะไร แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ก็ตามมา

    เพราะฉะนั้น เราก็มีการคิดนึกจากสิ่งที่เห็น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วแค่หลับตา  สิ่งที่กำลังปรากฏไม่เหลือเลย  ถูกไหมคะ เป็นความจริงหรือเปล่าคะ เวลาที่หลับตา สีต่าง ๆ ไม่เหลือ จะเหลือก็เพียงสีเดียวอาจจะเป็นสีคล้ำ ๆ สีหม่น ๆ หรือสีอะไรก็แล้วแต่แสง  ใช่ไหมคะ ทำไมเราไม่ว่าเป็นคนล่ะคะ แสงสว่างหรือสีต่าง ๆ ทำไมไม่ว่าเป็นคน แต่พอลืมตา เพียงแค่สี แต่หลากหลายต่างจากขณะที่หลับตา ก็ทำให้เกิดความคิดนึก ความจำว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    เพราะฉะนั้น เราเอาคนจากสิ่งที่ปรากฏ เอาเรื่องราวต่าง ๆ เหมือนเราดูโทรทัศน์ ก็ไม่มีคนสักคน ทำไมมีเรื่องเยอะ หรือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ก็แค่ดำ ๆ ขาว ๆ แต่ออกมาเป็นประธานาธิบดี สภาผู้แทนราษฎร เป็นอะไรหมด จากสิ่งที่ดำ ๆ ขาว ๆ

    เพราะฉะนั้น ก็จะแลเห็นได้ความต่าง แท้ที่จริงแล้วมีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่หลังจากนั้นความคิดของเรามากมายมหาศาล เอามาจากเพียงสิ่งที่ปรากฏทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น จะว่าไปก็เหมือนกับเราอยู่ในโลกของความคิด เป็นสภาพรู้ล้วน ๆ แต่ว่าเวลาที่สภาพรู้นั้นเกิดขึ้นเห็น ต้องอาศัยจักขุปสาท แล้วจักขุปสาทอยู่ตรงไหนคะ กลางตา เล็กนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ แต่พอกระทบ ที่ใช้คำว่า “อายตนะ” คือการประชุมกันของสิ่งที่ปรากฏทางตา จักขุปสาท แล้วก็สภาพอื่น ซึ่งเป็นอายตนะ ขณะนั้นจิตเห็น ก็เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปเลย ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่เห็น แล้วจิตจะเกิดขึ้นซ้อนกัน ๒ ขณะ ๓ ขณะไม่ได้เลย จิตของแต่ละคนจะเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ เพราะเหตุว่าจิตทุกขณะ ตัวจิต สภาพจิต เป็นอนันตรปัจจัย คำว่าปัจจัย ที่นี่หมายความถึงสิ่งที่สามารถจะทำให้สภาพธรรมอื่นเกิด ถ้าเป็นอนัตรปัจจัย ก็คือเมื่อจิตนั้นดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย 

    เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดขึ้น ๒ ขณะพร้อมกัน ไม่ได้ เพราะว่าจิตขณะต่อไปจะเกิดต่อเมื่อจิตขณะก่อนดับไปแล้ว  จิตขณะต่อไปจึงจะเกิดได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็จะมีจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว ถ้าแสดงโดยปัจจัยจะมีชื่อต่าง ๆ ต่อจากนี้ไปสังเกตเวลาฟังสวดได้เลย นัตถิปัจจัย ก็จะเป็นปัจจัยให้มีต่อเมื่อสภาพธรรมนั้นไม่มีแล้ว หรือปราศไปแล้ว หรือหมดไปแล้ว หรืออนันตรปัจจัยก็มี สมนันตรปัจจัยก็มี เริ่มจะคุ้นหูกับคำว่าปัจจัย แล้วต่อไปเวลาที่ศึกษาก็คือเดี๋ยวนี้เอง สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อไม่รู้ก็คิดว่า ก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ความจริงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ผู้รู้ ๆ ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร


    หมายเลข 9731
    18 ส.ค. 2560