เลือกอารมณ์ให้ปัญญารู้ไม่ได้


    วีระ   ผู้ที่ไม่สามารถจะมาในกรุงเทพได้ มาวัดบวรได้ เขาก็อาจจะไปศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมได้ที่นั่น เราจะถือว่าสถานที่ที่ปฏิบัตินั้นเป็นที่ที่เหมือนๆกันหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไปรอสติไหมคะ ไปรอสติหรือเปล่า

    วีระ   ไปเรียนครับท่านอาจารย์ ไปเรียนว่าสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ หวังไหม

    วีระ   ก็คงต้องหวัง เพราะว่า

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ แล้วทำอย่างไรจะเอาตัวหวังนี้ไปได้ มาตัวโตๆก็ไม่เห็นแล้วตัวเล็กๆจะเห็นหรือคะ

    วีระ   แต่ที่ผมมานี่ผมก็หวังเหมือนกัน ว่าผมจะเข้าใจธรรมแล้วครับ

    ท่านอาจารย์ ฉันทะ หรือว่าโลภะ

    วีระ   ในขณะนั้นก็เป็นความหวังที่อยากจะทราบสภาพธรรม เป็นโลภะเสียมากกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่ใช่ว่าใครจะต้องการฟังธรรมแล้วก็จะเป็นกุศลเสมอไป เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เป็นปัจจัตตังจริงๆ ให้ทราบว่า ลักษณะของโลภะเป็นสภาพที่หนัก แต่ลักษณะของกุศลทุกอย่างเบา

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราอยากทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เกิดความหงุดหงิด ให้รู้ว่าขณะนั้นคือเพราะเราอยาก แต่ถ้ามีปัญญาแล้วจะทราบจริงๆว่า ไม่มีการเลือกเลย สภาพธรรมที่จะเกิดแม้เพียงจิตขณะหนึ่งๆ ไม่มีทางที่ใครจะเลือก ใครจะตาบอดเดี๋ยวนี้ก็ได้ ใครจะหูหนวกเดี๋ยวนี้ก็ได้ อะไรจะเกิดขึ้น เป็นลมสิ้นชีวิตเดี๋ยวนี้ก็ได้

    นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครจะรู้เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การหวัง หรือการรอ หรือการคอย แล้วไม่ใช่เป็นการที่เมื่อโลภะเกิด ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นโลภะ

    เพราะฉะนั้น โลภะยังมีกำลังมาก ตราบใดที่ปัญญายังไม่เจริญพอ ไม่สามารถที่จะต้านทานกำลังของโลภะได้เลย อย่างที่เราเรียนเรื่องทิฏฐิคตสัมปยุตต์ คือ จิตซึ่งมีความเห็นผิด จิตชนิดนี้จะเกิดได้เฉพาะโลภมูลจิต คือ จิตที่มีความติดข้องต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น การที่เรายังมีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ผลของการปฏิบัติ นั่นแสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้ตัวเลยว่า โลภะเกิดแล้ว ความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรม แต่ถ้าปัญญาเกิดขณะใดรู้ความเป็นจริงว่า แม้ขณะนี้สติจะไม่เกิด แต่ก็มีปัจจัยของสภาพธรรมอื่นที่จะเกิด สภาพธรรมอื่นก็เกิด แล้วเมื่อมีปัจจัยของสติเกิด สติก็เกิด จะไปเร่งรัดให้สติเกิดได้อย่างไร ไปหวัง ไปต้องการที่จะทำให้สติเกิด โดยที่ว่าความเข้าใจต่างหากที่มีพอไหม ถ้ามีความเข้าใจพอ สติก็เกิดระลึก แล้วถ้ามีความเข้าใจพอ สติระลึกสภาพธรรมปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ สำหรับผู้ที่อบรมปัญญาแล้ว แต่ถ้าผู้ที่ไปอย่างนั้น ไม่มีทางที่เรียกว่า ชีวิตประจำวันอย่างนี้ สัมมาสติจะเกิด เพราะไปชินกับการกำหนด การทำด้วยความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น จะไม่มีทางเลยที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสติว่า ถ้าสติระลึกแล้ว ระลึกเก่ง กว่าตัวตนที่กำลังไปพยายามกำหนด เพราะว่าไปพยายามกำหนด กำหนดอะไร รูปอย่างเดียว นามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความละเอียดของสภาพธรรมซึ่งวิจิตรมาก ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะรู้ได้ว่า อนัตตา เลือกอารมณ์ให้ปัญญารู้ไม่ได้ เวลาที่เรากำลังเห็น แล้วเราค่อยๆระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เวลาที่กำลังได้ยิน ค่อยๆระลึกว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่ใช่ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด เพียงแต่ว่าเป็นการปูทาง หรืออบรมเจริญปัญญาให้มีกำลังที่ว่า  เมื่อถึงกาลที่วิปัสสนาญาณจะเกิด สติจะระลึกลักษณะของนามรูปซึ่งเราไม่เคยคิดหวังหรือรอคอยว่า จะต้องเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือไม่มีทางที่จะไปทำความเป็นอัตตาให้เกิดขึ้น เพราะว่าเรากำลังเตรียมอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รูปนี้จึงปรากฏ เพราะเหตุว่าทั้งนามธรรมรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก แล้วก็ตามเหตุตามปัจจัยด้วย

    เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมปรุงแต่งให้สภาพธรรมใดเกิด แล้วสติระลึก คนนั้นจะรู้ทันทีว่า ไม่มีตัวเราหรือว่าไม่มีกำลัง หรือว่าไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบันดาลได้ เมื่อพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สัมมาสติเกิดระลึก แล้วขณะนั้นพร้อมที่จะรู้แจ้ง ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าอบรมมามากในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น  ก็ไม่มีความหวั่นไหวเวลาที่สัมมาสติระลึก สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมสั้นๆ แล้วท่านสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านไม่ต้องไปที่อื่นเลย ไม่มีความหวังว่า ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าปัญญาอบรมแล้วพร้อมที่เมื่อสัมมาสติจะระลึก ซึ่งเก่งมากกว่าตัวตนเหลือเกิน ตัวตนอย่าได้ไปคิดเลยว่า จะระลึกได้อย่างสติที่เป็นสัมมาสติ

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความเป็นอนัตตานี้คืออย่างนี้ แล้วการละการยึดถือสภาพธรรมและความหวังผล ก็จะต้องเป็นไปในรูปนี้ แต่ถ้าไปด้วยความหวัง ก็ไม่มีอะไรที่จะละความหวังอันนั้น แล้วโลภะก็จะติดตามไปซ่อนเร้นเหมือนอย่างทุกวัน เราเกิดมาลืมตาขึ้นมาก็เป็นไปตามโลภะ โดยไม่รู้ แล้วก็จะไปตามโลภะ ให้ไปที่โน้นที่นี้อีก ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ก็ถูกโลภะจูงไปตลอดไม่มีทางที่จะหันกลับมารู้ความจริงว่า โลภะอยู่ตรงนี้ เพราะเหตุว่าให้ไปตรงนั้น แต่ถ้าโลภะไม่อยู่ตรงนี้ สติก็ระลึกตรงนี้ ปัญญาก็สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย

    ชวลิต ทั้งๆที่หวังจะมาฟังธรรมที่นี่ ก็เป็นความหวังที่เป็นโลภะแล้ว

    ท่านอาจารย์ สภาพของจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ใครจะมาบอกว่า ขณะนั้นเป็นกุศล ขณะนี้เป็นอกุศล เลิกพูด เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะจะรู้สภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับแล้วได้อย่างไร นอกจากประมาณกันเอาเองว่า  อย่างนี้ก็ต้องเป็นกุศล ขณะที่กำลังให้ทานก็ต้องเป็นกุศล แต่ขณะที่กำลังให้ทาน จิตเกิดดับเท่าไร เสียงดังแว้บ เข้ามา จิตก็เป็นอกุศลแล้ว แล้วก็จะไปบอกว่ากำลังให้ทานนั้นเป็นกุศล นั่นคือไม่รู้สภาพจริงๆของจิต เพียงแต่ประมาณเอาว่าเป็นกุศล

    เพราะฉะนั้น จิตใจของแต่ละคน เหมือนกันหมด คือเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ความอยากเกิดขึ้น ถ้าเป็นผู้ที่ตรงจะรู้เลยว่า วันหนึ่งๆ อยากแม้แต่ในกุศล


    หมายเลข 9063
    13 ก.ย. 2558