เพราะต้องเป็นเรา


    ท่านอาจารย์ ขอให้ทุกท่านพิจารณากรรมของท่านด้วย คือ แทนที่จะมานั่งถามกันว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ต่อไปนี้ก็คงจะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่านั้นว่า เพราะต้องเป็นเรา ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคนอื่น ไม่ว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่จะเกิดกับท่านในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ลาภ เสื่อมลาภ หรือแม้แต่จะพิจารณาแต่ละชีวิตที่เกิดมา ทั้งรูปร่างหน้าตา เป็นมนุษย์ก็มีตาคล้ายๆ กัน แต่ก็ยังต่างกันมากตามกรรมที่ได้กระทำ ถ้าเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน ก็จะเห็นได้ถึงความวิจิตรของกรรมที่ทำให้สัตว์น้ำ สัตว์บกก็ต่างกันไป

    นั่นก็เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้ทำแล้ว ที่ทำให้ชีวิตรูปร่างหน้าตา ความคิดความอ่านต่างกันไปฉันใดนะคะ ชาตินี้ทุกท่านก็กำลังทำกรรมที่จะทำให้ชาติหน้าจะมีรูปร่างอย่างไร จะเป็นสัตว์ประเภทไหน หรือว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหม อย่างไร ก็ไม่สามรถที่จะรู้ได้จนกว่าจะถึงชาติหน้า แต่ว่าในชาตินี้ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครมีอำนาจบังคับบัญชากระแสชีวิตในวันหนึ่งๆ ได้ ที่จะเกิดขึ้นเป็นไปทุกขณะ แม้แต่กำลังเห็นขณะนี้ ก็เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น แล้วหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่น่าคิด คือ เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว จิตจะเป็นกุศลหรืออกุศล นี่ก็เป็นการปรุงแต่งภพหน้าชาติหน้า ซึ่งเมื่อถ้าท่านผู้ฟังฟังวิทยุเมื่อสัก ๒ - ๓ วันก่อน ก็คงจะได้ยินเรื่องของประโยชน์ของการพิจารณาแม้รูปของชาติก่อน ซึ่งแต่ละท่านจำไม่ได้เลยว่า ชาติก่อนรูปร่างหน้าตาของท่านเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่เที่ยง ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปที่สวยงามเลอเลิศ หรือว่ารูปที่พิกลพิการ หรือว่าจะเป็นสัตว์ในนรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็หมด

    เพราะฉะนั้นถึงแม้ชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน นี่คือหนทางที่จะไม่ทำให้หลงติดมั่นในรูปซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท แต่ก็ไม่เป็นทุกข์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามกรรม เพราะว่าจริงๆ แล้วถึงแม้ว่า เรามีตำรับตำรามากมายสักเท่าไรก็ตาม แต่จิตก็ยังคงเป็นสภาพที่ลึกลับ ทั้งๆ ที่อยู่ที่ตัว แล้วก็ฟังแล้วก็อยากจะรู้เสียจริงๆ ว่าจิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ไม่มีรูปร่างลักษณะอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ตำราต่างๆ ก็มีคำยาก คำใหญ่ คำที่ไม่ชินหู ทำให้ยากต่อการที่จะเข้าใจได้จริงๆ ว่า จิตมีลักษณะอย่างไร แม้ว่าจะกล่าวว่า จำแนกจิตโดยเป็นชาติ ๔ ได้แก่ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา ก็ตาม แต่ว่าถ้าจะทำความเข้าใจ หรือพยายามที่จะเข้าใจว่า สิ่งต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ประมวลแล้วก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีโอกาสเห็นว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป นิพพานยังไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเหตุว่าถ้าขณะใดที่โลกุตตรจิตไม่เกิด ขณะนั้นก็ไม่สามารถจะประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานได้

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองที่มีจิต แล้วก็กล่าวถึงเรื่องชาติ ก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงเรื่องชาติของจิต จะกล่าวว่าจิตเท่านั้นไม่พอหรือ ซึ่งความจริงไม่พอ ทุกคนมีจิต แต่ถ้าไม่รู้ความละเอียดของจิต ละการยึดถือจิตว่าเป็นตัวตนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อยในเรื่องลักษณะของจิต หรือในเรื่องประเภทของจิต แต่ก็ให้ทราบจุดประสงค์ว่า เพื่อให้เห็นความไม่ใช่เรา หรือว่าไม่ใช่ตัวตน

    สำหรับเรื่องชาติ ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อจิตเป็นสภาพธรรมที่เกิด เมื่อเกิดแล้วเป็นอะไร คำว่า ชา-ติ ภาษาไทยก็ใช้หลายคำ ทั้งชาตะ ทั้งชาติ หมายความว่าเมื่อสภาพนั้นเกิดขึ้นแล้ว เป็นอะไร

    นี่คือจุดประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มความเข้าใจของเราให้เข้าใจชัดขึ้นว่า ไม่ใช่ตัวตน จะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆ ถ้าไม่อาศัยพระธรรมจะไม่ทราบเลย จิตเป็นกุศลก็ไม่รู้ จิตเป็นอกุศลก็ไม่รู้ จิตเป็นวิบากก็ไม่รู้ จิตเป็นกิริยาก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว เป็นอะไร จิตเกิดขึ้นเป็นอะไร จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลประเภทหนึ่ง จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศลอีกประเภทหนึ่ง จิตเกิดขึ้นเป็นวิบากคือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล แต่ว่าเป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลมี เป็นเหตุทำให้เกิดกุศลวิบากซึ่งเป็นจิตประเภทหนึ่ง อกุศลมี เป็นเหตุที่ทำให้เกิดอกุศลวิบากเป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง นี่ก็เริ่มที่จะเข้าใจชีวิตในวันหนึ่งๆ เพราะเหตุว่าผู้ใดก็ตามที่เริ่มเข้าใจเรื่องกรรมซึ่งเป็นเหตุ และเรื่องวิบากซึ่งเป็นผล ก็จะทำให้สังเกตชีวิตของตัวเองได้ว่า สิ่งที่กำลังทำในขณะนี้เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลประเภทใดข้างหน้า เพราะฉะนั้นก็จะทำให้มีสติระลึกได้ที่จะละเว้นอกุศล


    หมายเลข 8839
    26 พ.ย. 2566