ศึกษาธรรมเพื่อการขัดเกลากิเลส


    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงพระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทราบว่าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ละเอียด กว้างขวางมาก เพราะทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา บางคนเกิดมาตายไปก่อนอายุ ๔๕ แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ตั้งแต่เช้าจนถึงใกล้เวลาพักผ่อน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีมากทีเดียว  และการที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นก็เป็นได้ แต่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาก ใช้คำว่า “บารมี” แสดงให้เห็นว่าเราต้องเข้าใจคำนี้จริงๆ เพราะมิฉะนั้นเราก็เคยพูดบ่อยๆว่า พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป นี่อย่างเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยศรัทธาก็ต้องมากกว่านั้นอีก  ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยวิริยะก็ต้องมากยิ่งกว่านั้นอีก

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีเหตุที่สมควร ไม่ใช่ใครก็ตามนึกอยากจะเป็นก็ได้ และเมื่อได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะเห็นพระมหากรุณาที่ได้ทรงแสดงพระธรรมสำหรับพวกเราในยุคนี้ด้วย เพราะเหตุว่าคำสอนสำหรับผู้ที่ได้รับฟังจากพระโอษฐ์ก็ได้สืบทอดต่อๆมา จนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎก และยังไม่สูญสิ้นไป เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแท้ๆจากที่ทรงแสดงแล้ว แล้วก็จารึกไว้

    เพราะฉะนั้นจะเห็นพระมหากรุณาว่า แม้จะปรินิพพานไปแล้ว แต่พระธรรมก็ยังอยู่ เป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ค่อยๆฟัง ค่อยๆ พิจารณา ให้เป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วก็จะไปจำจำนวนเลข หรือจะเป็นผู้ที่ได้กุศลเยอะๆ ถ้าเป็นผู้ที่ฟังให้เข้าใจจริงๆว่า ธรรมคืออะไร พระธรรมคืออะไร แล้วถึงจะเห็นพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณของพระผู้มีพระภาคได้

    เพราะฉะนั้นขอเริ่มจากคำว่า “บารมี” เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจคำนี้ เราก็ใช้คำนี้โดยได้ยินได้ฟัง  คนไทยต้องเคยได้ยินคำว่า บารมี แต่จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

    “บารมี”  ผู้รู้บาลีท่านก็แปลว่า หมายความถึงธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง แสดงว่าพวกเรามีแม่น้ำกว้างใหญ่ขวางหน้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีบารมี จะข้ามจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ฝั่งนี้คืออะไร ฝั่งนี้ก็คือฝั่งของผู้มีกิเลสทั้งนั้น ถ้าไม่มีกิเลส ไม่เกิด เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดมาแล้วต้องเป็นผู้ที่มีกิเลส พระชาติสุดท้ายที่พระผู้มีพระภาคจะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระองค์หมดกิเลสแล้วถึงได้ประสูติแล้วตรัสรู้ แต่ต้องยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนที่เกิดไม่ว่าใครทั้งหมดต้องมีกิเลส

    เพราะฉะนั้นการที่เราเกิดมา แล้วกิเลสในวันหนึ่งๆมาก แต่ไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจกิเลสของตัวเองเลย เห็นกิเลสของใครคะ เห็นกิเลสของคนอื่น บางคนก็จะมีเรื่องราวกิเลสของคนอื่นทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะพูดถึงใคร ก็พูดถึงแต่กิเลสของคนอื่น แต่กิเลสของตัวเองไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น อย่างนั้นจะมีประโยชน์ไหมคะ การเห็นกิเลสของคนอื่นแต่ไม่เห็นกิเลสของเรา

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้ฟังพระธรรมจริงๆ พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดแก่ทุกคนที่มีโอกาสได้ฟัง ไม่ว่าจะเกิดเป็นใครชาติไหนอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้ว พระธรรมสำหรับทุกคนจริงๆ ที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจว่า เรายังเป็นผู้มีกิเลส จึงได้เกิดมา เมื่อเกิดมาแล้วก็ยังมีกิเลสขวางกั้น เหมือนกระแสน้ำที่กว้างใหญ่ กว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นฝั่งที่ดับกิเลส


    หมายเลข 8705
    11 ก.ย. 2558