แล้วเราอยู่ที่ไหน ๑
ทรงพล ที่ผมตอบอาจารย์ว่า รูป ผมเข้าใจว่าอาจารย์พูดถึงรูป ๒๘ ผมถึงตอบว่า เสียงเป็นรูป
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นก็เอาแต่ส่วนสำคัญๆ ๒๘ ก็ยังไม่ต้องกล่าวถึง เอาที่เราสามารถพิจารณาได้ เห็นได้ เข้าใจได้ว่า รูปอะไรแน่ที่สำคัญจริงๆ
หมอว่าอย่างไร หมอเห็นด้วยไหมคะ เพราะหมอเป็นหมอ
หมอเพิ่มสมบัติ เห็นด้วยครับ
ท่านอาจารย์
ทีนี้ทั้งโลกจักรวาลเกิดเพราะอุตุเท่านั้น ไม่มีจิตใจเข้าไปแทรกอยู่ในโลกนี้เลย แต่ว่าโลกนี้ละเอียดย่อยลงไป แตกสลายยิบยับๆละเอียดฉันใด ที่ตัวเราก็อย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวข้อง ขณะใดก็ตามซึ่งไม่เป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเห็น รูปเขาก็เกิดดับไป เช่นคนที่อาจจะตาบอดด้วย หูหนวกด้วย จมูกไม่ได้กลิ่นด้วย เขามีจิตจริง แต่ไม่มีทางที่จะรับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าเขาไม่มีตาเห็น ไม่มีหูได้ยิน ไม่มีจมูกได้กลิ่น แต่ทีนี้รูปที่เป็นส่วนสำคัญ คือว่าเกิดดับจริง แต่ระหว่างที่ยังไม่ดับ เขากระทบสัมผัส อย่างจักขุปสาทที่อยู่กลางตา ที่สามารถรับรู้สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏก็ดับเร็ว จักขุปสาทก็ดับเร็ว แต่อาศัยขณะที่ประจวบกระทบกันโดยยังไม่ดับ ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นชั่วขณะสั้นที่สุด แล้วก็ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณะต้องหมายความถึงไตรลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้นทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะใช้คำ จำเรื่องราวของธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชาที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด แล้วก็บัญญัติเป็นปอด เป็นตับ เป็นอะไรก็ตาม แล้วใช้วิชาการทางแพทย์ แต่ว่าจริงๆแล้วเร็วยิ่งกว่านั้น ก็คือรูปทุกรูปเกิดดับเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ก็เกิดแล้วดับแล้ว แต่ทางตาเห็น แล้วก็ชอบไม่ชอบ ทางหูได้ยิน แล้วก็ชอบไม่ชอบ เพราะฉะนั้นรูป ๕ รูป เป็นรูปภายใน เพราะว่าจิตต้องเกี่ยวข้องกับรูปนี้อยู่ตลอด
หมอเพิ่ม ที่ว่าเกิดดับ คือ เราก็จำที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน หรือเชื่ออาจารย์ไว้ก่อนใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
หมอเพิ่ม เชื่ออาจารย์ไว้ก่อนครับ
ท่านอาจารย์
หมอเพิ่ม รู้สึกว่าตัวกระทบกับพื้น
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นก็มีนามธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุที่รู้ คือ สามารถที่จะเห็นได้ คิดได้ อะไรได้ทุกอย่าง เรียกว่าเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อไร ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่รู้ไม่ได้เลย
ทีนี้เวลาที่ก่อนฟังธรรม เรามีความเป็นตัวตน ทั้งๆที่ตัวตนมันก็ไม่ปรากฏ อย่างเวลาที่เรานั่งฟังอยู่ที่นี่ ปอดไม่ได้ปรากฏ หัวใจก็ไม่ได้ปรากฏ อะไรทั้งหลายก็ไม่ได้ปรากฏ ถ้าทางตา สีสันวัณณะกำลังปรากฏ พอถึงหู แยกออกไป เอาเพียงชั่วขณะ ขณะที่กำลังได้ยิน จะมีขณะอื่นซ้อนขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะเป็นชั่วขณะที่เสียงกำลังปรากฏ เวลาเสียงปรากฏก็ต้องหมายความว่า มีสภาพที่รู้ กำลังได้ยินเสียงนั้น มีทั้งเสียงแหลม มีทั้งเสียงดัง มีทั้งเสียง เราอาจใช้คำสมมติ เป็นเสียงนก เสียงรถยนต์ ซึ่งแสดงความต่างของเสียง แต่สภาพรู้เสียงสามารถจะรู้ลักษณะเสียงต่างๆกันได้ ที่เสียงปรากฏก็แปลว่า ต้องมีจิตซึ่งกำลังได้ยินเสียง กำลังรู้เสียง ขณะที่กำลังเฉพาะได้ยิน ตัวหมอมีที่ไหน ทั้งตัวอยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน ไม่มีเลยค่ะ เพราะว่ามีอากาศธาตุซึ่งแทรกคั่นละเอียดยิบ รูปเกิดดับหมดเลย เร็วมาก รูปใดเกิดแล้วดับ โดยที่จิตไม่เกิด รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว
เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกรูปกำลังทยอยกันเกิดดับ โดยที่จิตไม่ได้ไปรู้เลย ขณะที่ได้ยินเสียง จิตรู้แต่เสียง ขณะที่ได้กลิ่น จิตรู้แต่กลิ่น เพราะฉะนั้นความทรงจำของคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม จึงมีอัตตสัญญา สัญญา แปลว่าความทรงจำ อัตต แปลว่า ตัวตน
เพราะฉะนั้นเรายังมีความทรงจำว่า ยังมีเรานั่งอยู่ที่นี่ นอนอยู่ที่นั่น ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด จนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆที่ปรากฏ ทีละ ๑ ประเภท แล้วก็แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แต่เราพูดถึงทีละขณะ ซึ่งอาจจะแบ่งเป็นเสี้ยววินาที แปลว่าแบ่งออกไปอีกมากทางวิทยาศาสตร์ เวลานี้ก็แบ่งออกไปจนไม่รู้ว่ากี่พัน กี่ร้อยของเสี้ยววินาที แต่สภาพของนามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเร็วกว่านั้นมาก
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว แล้วจะเป็นตัวหมอได้อย่างไร ไม่ว่าสิ่งที่เราเคยว่าเป็นปอด เป็นหัวใจ เป็นตับ นั่นคือเรื่องราวที่เราจำไว้ แต่ชีวิตคนเราชั่วขณะจิตเดียว จิตจะมีซ้อนกัน ๒ ขณะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตที่เห็นไม่ใช่จิตที่ได้ยิน นี่ก็แสดงความต่างแล้วว่า เป็นจิตต่างชนิด เกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน เป็นต่างประเภท ตัวหมอนั้นไม่มีเลย มีแต่ขณะที่ได้ยิน เป็นจิตได้ยิน หมอก็เข้าใจว่า หมอได้ยิน จึงเป็นตัวหมอ ขณะที่เห็น ก็เป็นจิตที่เห็นชั่วขณะหนึ่ง หมอก็เข้าใจว่า เป็นหมอเห็น ขณะที่ลิ้มรสอร่อยๆ ก็เป็นจิตชั่วขณะหนึ่งซึ่งลิ้มรส หมอก็เข้าใจว่าเป็นหมอ จริงๆแล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรมชั่วแต่ละ ๑ ขณะ