ตั้งใจ ไม่ใช่อยาก
ประทีป ถ้าความเข้าใจในขั้นการฟังเริ่มเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้ที่ท่านอาจารย์เคยพูดว่า แม้ขณะที่ให้ทาน ก็เป็นเพียงแต่จิตเกิดขึ้นที่คิดในทาน ความเข้าใจขั้นการฟังก็เข้าใจอย่างที่ท่านอาจารย์ว่าเป็นอย่างนี้ แต่สติก็ยังไม่เกิด พอให้ทานทีไร ก็ยังเป็นเราให้ทุกที
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นปัญญา คือ ความเข้าใจ เราก็เป็นผู้ตรงว่า เราเข้าใจแค่นี้คือแค่นี้ ฟังอีกก็เข้าใจอีก เวลาที่สติเกิดก็มีความรู้ในขณะที่สติเกิดว่า นี่เป็นสติที่ระลึก ไม่ใช่เรา อย่างนี้คือสัมมามรรค ไม่ใช่ไปหวังรอ แล้วเมื่อไรปัญญาจะเกิด แล้วเมื่อไรมรรคจะเกิด แล้วเมื่อไรสติจะเกิด ฟังมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี นั่งนับไป แล้วเมื่อไรอีก ถ้ามี แล้วเมื่อไรอีก ก็แปลว่ายังไม่พ้นโลภะ
ประทีป ฟังท่านอาจารย์แล้ว ก็ยังคิดอีกว่า รู้ว่ากุศลจิต กุศลกรรมเป็นสิ่งที่ดีที่งาม สิ่งที่ควรกระทำ ส่งเสริม หรือสะสมให้มากยิ่งขึ้น การคิดอย่างนี้ ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการติดข้องแล้ว ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
ประทีป ถึงแม้ว่าจะทำสิ่งที่ดีให้ดียิ่งขึ้น
ท่านอาจารย์
แสดงให้เห็นความต่างกันโดยละเอียดว่า อกุศลเข้ามาเมื่อไร ครอบงำเมื่อไรโดยไม่รู้ตัว
คนที่ไม่รู้จักโลภะ จะไม่รู้จักโลภะเลย ไม่รู้จักจริงๆ เขาอยู่กับตัวตั้งแต่เกิด แล้วแต่เขาต้องการอะไร หามาให้หมด ที่หามา หามาให้โลภะ ความติดข้อง แล้วจะพ้นจากเขาได้อย่างไร ถ้าปัญญาไม่เกิด ขอให้ทราบอย่างนี้ หนีไม่พ้นต้องมีปัญญา ไม่ใช่มัวนั่งอยากมีปัญญาอีกก็ไม่ได้ ถ้าอยากมีปัญญา ก็คือเขานั่นแหละ
ประทีป ทั้งๆที่รู้ว่า อยากมีปัญญาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่
ท่านอาจารย์
ประทีป ก็ต้องแยกให้ละเอียดลึกลงไปอีกว่า ในขณะที่คิดอยากจะทำสิ่งที่ดีที่งาม ขณะนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว
ท่านอาจารย์
ประทีป ความเข้าใจขั้นการฟังก็ต้องพิจารณาตั้งแต่ตอนนี้เลย ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
ประทีป คือไม่ใช่ฟังเข้าใจแล้วก็ไปทำเลย
ท่านอาจารย์
ประทีป กระผมยังมีความเห็นว่า ถ้าความเข้าใจขั้นการฟังสมบูรณ์แล้ว สภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูปก็จะปรุงแต่งทำหน้าที่ของเขาเอง
ท่านอาจารย์
ประทีป เราก็คงต้องฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ แล้วให้ความเข้าใจทำหน้าที่ปฏิบัติกิจความเข้าใจของเขาเอง
ท่านอาจารย์
ประทีป ถ้าอย่างนั้น ฟังกันมาตั้งแต่เช้าว่า ปัญญาในขั้นการฟัง ปัญญาในขั้นปฏิบัติพระธรรมก็คงมีลักษณะนี้ว่า ไม่ใช่เราเป็นผู้กระทำ เป็นสภาพธรรมที่
ท่านอาจารย์