ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม
ปรียา ขณะที่เดินทางมา บางทีก็เห็นสัตว์นอนตายอยู่บนถนน ในสภาพความรู้สึกของหนูก็เห็นแค่ว่า ความตายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่บางคนเวลาเห็นเขาระลึกถึงความเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หนูก็ไม่สามารถระลึกถึงในลักษณะสภาพอย่างนั้นได้ เพียงแต่ได้ยินท่านอาจารย์พูดอยู่เสมอว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ แต่พอเห็นเป็นความตายทุกครั้ง หนูก็ไม่สามารถระลึกในลักษณะนั้นได้เลยค่ะ
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นความคิดของแต่ละคนก็หลากหลายตามการสะสม เราจะแลกความคิดกันไม่ได้ หรือคนนั้นเขาสติปัฏฐานเกิด แต่เราไม่เกิด นั่นคือขณะนั้นคิด ความจริงไม่มีเขาและไม่มีเรา แต่เมื่อไรขณะที่คิดว่ามีเขา คือ เขามีเมื่อคิด แต่ถ้าคุณปรียาไม่คิดเลยถึงเขา ขณะนั้นเป็นเห็น ขณะนั้นเป็นเรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่เขาคนที่คุณปรียากำลังคิด
เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพของจิตขณะหนึ่งๆว่า ให้รู้ขณะนั้นเป็นอะไร ให้รู้ว่าไม่มีเราเลย เป็นชั่วขณะที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ทุกคนก็มีโลกคนละใบกับความคิด หลังจากที่เห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิด แล้วก็คิดว่ามั่นคงถาวร เพราะฉะนั้นก็ยังมีความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลอยู่
ถ้าเราศึกษาโดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เราก็จะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากการที่เราได้ศึกษา แต่อย่าลืมว่าเราบังคับสภาพธรรมใดๆไม่ได้เลย เหตุปัจจัยที่จะให้สติปัฏฐานเกิด ก็คือเมื่อมีความรู้ความเข้าใจธรรมถูกต้องเพิ่มขึ้น ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจธรรมถูกต้องเพิ่มขึ้น ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องรอ สติปัฏฐานก็มีปัจจัยเกิดขึ้น
ข้อสำคัญก็คือเราเรียนไปด้วยความเป็นเรา และต้องการด้วย คือ ต้องการกุศลและต้องการสติปัฏฐาน แต่จริงๆถ้ารู้จนจรดกระดูกจริงๆว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และทุกอย่างจะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย การเรียนของเราก็เรียนแบบอาจหาญร่าเริงที่จะรู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย อกุศลเกิดได้ไหมคะ ไม่ได้ อกุศลเกิดแล้วทำอะไรได้ไหมคะ ใครจะทำอะไรกับอกุศลที่เกิดแล้ว เพราะอกุศลที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับก็ยังเป็นทุกข์อีก ใช่ไหมคะ ทั้งๆที่อกุศลเกิดแล้วดับ ก็อุตส่าห์เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้ความจริงว่า แม้ขณะที่เป็นทุกข์ หรือกังวล หรือไม่ชอบอกุศลนั้นก็เป็นสภาพธรรม จนกว่าจะทุกอย่างเป็นธรรม
นี่คือการที่เป็นจิรกาลภาวนา