ทุกข๋กายหลีกเลี่ยงไม่ได้
ศิลกัล เมื่อพูดถึงเรื่องทุกข์กายทุกข์ใจ เมื่อกี้นี้ท่านอาจารย์กล่าวว่า แม้กระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ทางกายก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นผลของกรรม การศึกษาธรรม จะไม่ช่วยอะไรทางกายเลย ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
ศิลกัล เพื่อให้มีสติระลึกรู้ว่า นี่เป็นผลของกรรม ก็แค่นั้น
ท่านอาจารย์
ศิลกัล ไม่เกิด
ท่านอาจารย์
ศิลกัล แล้วความเจ็บทางกายก็จะลดลง
ท่านอาจารย์
ศิลกัล เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อรู้แจ้งสภาพธรรม
ท่านอาจารย์
พระ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ถ้าเป็นกรรมที่เกิดขึ้นทางกาย เราไม่มีสิทธิ์จะต่อรองหรือแก้ไข ปรับปรุง
ท่านอาจารย์
พระ แปลว่าอย่างไรต้องใช้หนี้
ท่านอาจารย์
พระศุภกร เมื่อกี้นี้ที่บอกว่า ทุกขเวทนาทางกายเป็นผลของกรรม ทีนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราพิจารณาว่า มันเป็นทุกข์เพราะกรรมในอดีต แล้วก็ไม่รักษา ปล่อยไปจนกว่าจะหมดกรรม อย่างนี้จะถือว่าเป็นความเห็นผิดหรือถูก
ท่านอาจารย์
พระศุภกร แล้วจะมีการรักษาไหม
ท่านอาจารย์
พระศุภกร ถ้าเผื่อเราขวนขวายในการรักษา จะถูกกล่าวหาว่าไม่เชื่อ ไหนสอนว่าเป็นผลของกรรม ทำไมวุ่นวายไปหายามารักษา ถ้าดูต่อว่าอย่างนี้ จะว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์
นี่คือกุศลซึ่งเป็นเหตุ อกุศลซึ่งเป็นเหตุ และวิบากซึ่งเป็นผล แต่เวลาที่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีการเห็น มีการได้ยิน ซึ่งเป็นผลของกรรมแล้ว ก็ยังมีจิตที่เป็นกุศล อกุศลเกิดอีก
เพราะฉะนั้นเวลาที่เจ็บปวด ไม่ชอบความเจ็บปวดนั้น จิตเป็นอกุศล คิดที่จะรักษาพยาบาล ขณะนั้นก็เป็นโลภะ ความต้องการที่จะให้หายป่วย ซึ่งเป็นจิต ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะไปบังคับไม่ให้จิตนี้เกิดขึ้น ไม่มีการรักษาความป่วยไข้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ
พระศุภกร ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ การรักษาโรคที่เกิดทางกายก็ต้องเกิดขึ้นเพราะโลภะ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์
พระศุภกร ถ้าเราเป็นนิ่ว ปวดท้อง ดิ้นไปดิ้นมา เราขวนขวายไปโรงพยาบาลแล้วมีการผ่าตัด การที่ต้องการรักษา ในขณะนั้นก็ต้องเป็นโลภะตลอด
ท่านอาจารย์
พระศุภกร ถ้าเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์
พระศุภกร แต่ก็มีการรักษาเหมือนกัน
ท่านอาจารย์
พระศุภกร แต่ด้วยกิริยาจิต
ท่านอาจารย์
พระศุภกร อันนี้หมายความว่า อันนี้เป็นธรรมชาติของท่าน หมดโลภะ โทสะ โมหะแล้ว อย่างเราไม่มีทางฝันว่าจะทำจิตอย่างนั้น
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีความต่างกัน แต่ความต่างของจิตใจก็คือว่า ผู้ที่เป็นปุถุชน มีกุศลบ้าง มีอกุศลบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอกุศล ทันทีที่เห็น เห็นแล้วรักหรือชัง ชอบหรือไม่ชอบ น้อยนักในวันหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อเห็นแล้วเป็นกุศลที่จะสละเป็นทาน หรือที่จะเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นโดยประการใดๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อจิตของคนที่มากไปด้วยอกุศลในชีวิตประจำวันจริงๆเกิด และกว่าจะเปลี่ยนเป็นเห็นแล้วเป็นกุศล จะยากไหมคะ และกว่าจะเปลี่ยนจากเห็นแล้วเป็นกุศล เป็นกิริยาจิต ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ตรงจริงๆที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และหลังจากเห็นแล้วก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นกุศลหรืออกุศล ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะก็รู้ลักษณะของนามธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ แต่ต้องเป็นปัญญาตามระดับขั้นจริงๆ ไม่ใช่ข้ามขั้น