ขั้นต้นให้รู้ตามความเป็นจริง
ศุกล เรื่องการละกิเลส เวลาที่ฟังธรรมส่วนเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่น่าจะเกิดความรู้สึกท้อแท้หรือหนักใจอะไร แต่พอได้ฟังเทปตอนหนึ่งของท่านอาจารย์เมื่อพูดถึงว่า แม้จะมีอกุศลเจตสิก ๑๔ ประเภท แต่จัดเป็นอกุศลหรือเป็นกิเลสถึง ๙ กองใหญ่ๆ เวลานี้แม้แต่ชื่อก็ยังจำไม่ค่อยได้ ตั้งแต่กองที่ ๑ คือ อาสวะ ซึ่งเป็นสิ่งที่หมักดองอยู่ในจิตตลอดเวลา และการที่จะรู้ทั่ว ยังไม่ต้องไปคิดละ ก็ยังไม่ค่อยจะรู้เลย ผมก็เลยคิดว่า ความรู้ที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่านอาจารย์ทั้งหมด คงยังไม่เพียงพอทำให้เกิดสติปัญญาได้เลย ท่านอาจารย์จะอนุเคราะห์อย่างไรบ้างไหมครับ สำหรับการให้เป็นผู้มั่นคงเห็นว่า กิเลสเป็นสิ่งที่ควรละ และกุศลเป็นสิ่งที่ควรเจริญ จนกว่าจะสิ้นชีวิตนี้
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นให้เห็นว่า แล้วจะแค่ไหน ขณะนี้เรากำลังนั่ง แล้วก็เห็นว่า เป็นคนนั้นคนนี้ แต่ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นใคร เพียงแค่เห็นนิดเดียว ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นใครเลย มีปัจจัยที่ทำให้เกิดอกุศลแล้วและกุศลแล้ว และปกติก็ต้องเป็นอกุศล
เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังนั่ง หรือนอน ยืน เดินอยู่ที่ไหน ซึ่งไม่ใช่ขณะที่ฟังธรรม ไม่ใช่ขณะที่เข้าใจธรรม จะมีอกุศลวันหนึ่งๆมากสักเท่าไร
เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟังพระธรรมให้เกิดความเข้าใจของตนเอง ไม่ใช่ไปอนุเคราะห์กันด้วยเรื่องอื่น แต่พระธรรมอนุเคราะห์ให้ปัญญาของผู้ฟังเกิด ต้องเป็นความเข้าใจของตัวเอง
เพราะฉะนั้นผลของการฟังธรรมแต่ละครั้งให้ทราบว่า คือความเข้าใจ ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ เสียเวลามากๆเลยไม่ว่าจะฟังอะไรที่ไหน แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจสักนิดหนึ่ง นั่นคือประโยชน์แล้ว และยิ่งฟังบ่อยๆ ความเข้าใจทีละนิดทีละหน่อยก็เพิ่มขึ้นอีก ทำให้มีความเข้าใจถูกต้องตรงขึ้น นั่นคือประโยชน์ของการฟังธรรม ไม่ใช่ไปอนุเคราะห์กันเรื่องอื่นค่ะ แต่ให้เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ศุกล ทีนี้พูดถึงเรื่องกิเลส ตามความเป็นจริงแล้วถ้าเป็นกิเลสที่เป็นความยินดี พอใจ ติดข้อง ไม่เห็นว่าเป็นโทษเลย กลับมีความพอใจและสบายใจด้วยซ้ำไป แต่สิ่งนั้นก็เป็นกิเลสแล้ว เราจะรู้สึกเดือดร้อนเมื่อเป็นโทสะอย่างเดียว โมหะนี่ยิ่งสบายมาก เพราะว่าเห็นแล้วไม่รู้ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าเห็นเกิดความชอบไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเป็นความชังแล้วเดือดร้อน ก็ต้องขอคำแนะนำที่ท่านอาจารย์พอจะพูดให้เป็นอนุสติให้มีการระลึกได้บ่อยๆ
ท่านอาจารย์
ศุกล แต่ถึงแม้จะมี จะเกิด ก็ไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์
ความเข้าใจถูกคือปัญญา จะละความเข้าใจผิด จะละความเห็นผิดไปเรื่อยๆ จากเห็นว่า โลภะไม่เป็นโทษ จนกระทั่งเห็นโทษของโลภะว่าเป็นสมุทัย เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์ทั้งปวง