ขณะนี้อะไรเป็นธรรม ๑


    ท่านอาจารย์ ธรรมหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เพราะฉะนั้นอะไรบ้างที่เป็นธรรม ลองคิดค่ะ กว้างแสนกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แล้วให้ตอบทีละอย่าง พอกว้างๆ ตอบได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แต่พอให้ยกตัวอย่างว่า อะไรบ้าง ลองยกตัวอย่างซิคะ จะได้เข้าใจว่า ที่ฟังนี่เข้าใจอย่างไร

    ผู้ฟัง น้ำเป็นของเหลวมั่งคะ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ จะตอบไปตามแนวที่ศึกษาตามโรงเรียนว่า น้ำเป็นของเหลว ของเหลวนี่รู้ได้ทางไหน

    ผู้ฟัง ทางตา

    ท่านอาจารย์ ทางตาเหลวอย่างไรคะ

    ผู้ฟัง ก็เห็นไหล

    ท่านอาจารย์ เห็น ทางตาไม่เหลว ทางตาเห็น นี่แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเข้าใจธรรม เห็นไหมคะว่า ถ้าเราไม่ศึกษาจริงๆ เราคิดเองหมด แต่ถ้าเราศึกษาแล้วเราจะรู้ว่า ตรงกันข้ามกับที่เราเคยคิด เคยเข้าใจ

    ดูจริงๆ เวลานี้ทุกคนกำลังเห็น แน่นอนใช่ไหมคะ การเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะเป็นของจริง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นของจริงหรือเปล่า จริงนะคะ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นในขณะนี้ มีจริงๆ ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เราต้องไปนึก ไม่ต้องนึก ลืมตาขึ้นมาก็เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตาเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นไหมคะ เป็นค่ะ ต้องตรง และต้องไม่มีข้อที่จะไปบิดเบือน หรือสงสัย หรือถ้ามีอะไรก็ถามกันเลยว่า ทำไมถึงว่าจริง ทำไมถึงว่าเป็นธรรม แต่ถ้าเราใช้หลักที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เห็นในขณะนี้เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นธรรม แล้วถ้าพรุ่งนี้มีคนถามว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า จะตอบเขาว่าอย่างไรคะสำหรับพรุ่งนี้ ไม่ใช่ที่นี่ ถ้าเผอิญไปเจอเพื่อนๆ และมีเพื่อนๆ ถามว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า จะตอบว่าเป็นหรือไม่เป็น เป็น กี่วันๆ ก็ต้องตอบว่าเป็น ไม่ใช่ตอบว่าเป็นเฉพาะที่นี่

    สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมหรือเปล่า

    นี่คือความไม่แน่นอนใช่ไหมคะ เมื่อกี้นี้เราบอกแล้วว่า ธรรม หมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ย้อนถามกลับไปว่า แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นธรรมหรือเปล่า

    คือเมื่อกี้นี้พูดถึงเรื่องธรรม หมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ อย่างเห็นในขณะนี้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นดิฉันก็ถามให้แน่ใจว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นนะคะ

    และขณะที่เห็น ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ทางตาในขณะนี้เป็นของจริง ไม่ได้นึกคิดขึ้นมา ไม่ได้สร้าง แต่พอเห็นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นทางตา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นค่ะ ปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทีแรกบอกแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีจริงๆ

    ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งนั้นมีลักษณะสภาพของตนซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง อย่างลักษณะที่แข็ง ใครจะไปเปลี่ยนลักษณะที่แข็งให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ให้เป็นเผ็ดก็ไม่ได้ เวลาที่เผ็ดกระทบลิ้นปรากฏ จะไปเปลี่ยนเผ็ดนั้นให้เป็นหวานก็ไม่ได้ นี่คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำอะไรได้ นี่ต้องเข้าใจ ส่วนใหญ่คนที่คิดว่าจะทำ นั่นผิด แต่ธรรมมีจริง สามารถอบรมเจริญปัญญาให้รู้จริง ให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่ไม่ใช่ให้เราไปทำไม่มีกิเลส หรือไปทำไม่ให้โลภ ไปทำไม่ให้โกรธไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจผิด ถ้าคิดว่าจะทำ

    ผู้ฟัง เรารู้ว่าผิด แล้วเราจะละตรงนี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางค่ะ เพราะ เรา ทำอะไรไม่ได้ แต่ปัญญาทำกิจของปัญญา โลภะทำกิจของโลภะ โทสะทำกิจของโทสะ สภาพธรรมแต่ละชนิดมีกิจการงานเฉพาะของเขา แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ อย่างโลภะความติดข้อง จะไปทำกิจของสติก็ไม่ได้ การระลึกถูกต้องก็ไม่ได้ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างเป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

    เพราะฉะนั้นลักษณะของปัญญา เป็นสภาพที่รู้จริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญา เป็นอวิชชา เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ แม้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับธรรม ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของธรรมได้

    เพราะฉะนั้นอวิชชาทำอะไรไม่ได้เลย ความเป็นตัวตน ความเห็นผิดว่าเป็นเรา จะไปละกิเลสอะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อบรมขึ้น จนกว่าสมบูรณ์สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ แต่เราทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเรา มีแต่อวิชชา การไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟัง แล้วด้วยการพิจารณา แล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจเป็นการเริ่มต้นของปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ทางตามีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏ มีเสียง มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีโลภ มีโกรธ มีหลง เหล่านี้เป็นสภาพธรรมซึ่งปัญญาสามารถค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้นได้ แต่ไม่มีเราซึ่งจะทำ ถ้าใครคิดว่าจะทำ อันนี้ไม่ถูก เพราะเหตุว่าเป็นตัวตน แต่ตัวตนไม่มีเลย มีแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง

    นี่เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ ไป ค่อยๆ ฟังตลอดชีวิต แล้วชาติหนึ่งก็ยังไม่พอ เพราะว่าจะจบสิ้นต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีการศึกษา มีการปฏิบัติ มีการฟัง มีการเข้าใจธรรมไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ


    หมายเลข 8124
    24 ส.ค. 2567