รูป - นาม


    ผู้ฟัง    ดิฉันขอเรียนให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำว่า “จิต” ว่าแตกต่างจากคำว่า “ความคิด” และขอสมมติว่าผู้ฟังเป็นเด็กประถมด้วย เพราะดิฉันมีปัญหาในเรื่องนี้มากเลย

    ท่านอาจารย์ แยกง่ายๆ คือ ธรรม สิ่งที่มีจริงในโลก หรือทั่วโลก ในจักรวาล ทั้งหมดทุกแห่ง จะมี  สภาพธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ ลักษณะ คือ สภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เราจะใช้ภาษาบาลีว่า “นาม” หรือ “นามธรรม” ก็ได้ และสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้อีกอย่างหนึ่ง เราจะใช้คำว่า “รูป” หรือ “รูปธรรม” ก็ได้

    ก่อนที่จะมาถึงคำว่า “จิต” หรือ “ความคิด” ให้ทราบว่า แยกสิ่งที่มีจริงๆออกเป็น ๒ อย่าง

    เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็มีการบ้าน ถ้าใครอยากจะคิดว่า อันนี้เป็นรูป หรืออันนี้เป็นนาม อย่าง “ง่วง” ง่วงเป็นรูปหรือเป็นนามคะ

    รูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลย รูปไม่เจ็บ รูปไม่หิว รูปกินไม่ได้ เห็นไม่ได้ สุขไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ โกรธไม่ได้ อิจฉาไม่ได้ ริษยาไม่ได้ ลักษณะอื่นทั้งหมดเป็นนามธรรม ง่วงก็เป็นนามธรรม หิวก็เป็นนามธรรม อิ่มก็เป็นนามธรรม ชอบก็เป็นนามธรรม ดีใจก็เป็นนามธรรม จำได้ก็เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นคิดก็เป็นนามธรรม โต๊ะคิดไม่ได้ เก้าอี้คิดไม่ได้ รูปคิดไม่ได้ และนามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก

    เจตสิกเป็นคำใหม่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลย หมายความถึงสภาพที่เกิดกับจิต คำว่า “เจตสิก” เกิดกับจิต อยู่กับจิต ไม่แยกออกจากจิตเลย เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า จิตเป็นแต่เพียงสภาพรู้ หรือธาตุรู้ แต่ว่ามีหลายประเภท ทำไมจึงมีจิตหลายประเภท เพราะเหตุว่าเจตสิกเป็นสภาพที่เกิดกับจิตมีหลายอย่าง เพราะฉะนั้นก็ทำให้จิตต่างออกไปเป็นชนิดต่างๆ อย่างโกรธเป็นเจตสิก โลภเป็นเจตสิก เมตตาเป็นเจตสิก เพราะว่าจิตเป็นเพียงสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ แต่ว่าเขาจะไม่จำอะไร จะไม่โลภ จะไม่โกรธ จะไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น

    อย่างขณะนี้ที่กำลังเห็น จิตเป็นลักษณะที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สามารถที่จะจำความละเอียดของทุกอย่างที่ปรากฏได้ รู้ด้วยว่า คนนี้ไม่ใช่คนนั้น หรือแม้แต่เพชรเทียมกับเพชรแท้ สิ่งที่ปรากฏทางตาทำให้สามารถรู้ได้ เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็นแจ้งในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือลักษณะของจิต แต่ว่าขณะที่กำลังจำ ไม่ใช่จิต เป็นเจตสิก

    เพราะฉะนั้นเจตสิกมี ๕๒ ชนิด ทำให้จิตต่างกันไปเป็น ๘๙ ประเภท เพราะฉะนั้นจิตที่คิด ไม่ใช่จิตที่เห็น จิตที่ได้ยินไม่ใช่จิตที่เห็น จิตที่คิด แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็ยังคิดได้ คืนนี้ตอนนอนจะรู้เลยว่า ไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไร ก็ยังคิด ขณะนั้นเป็นจิตกับเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน จะไม่มีการที่จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิก เพราะเหตุว่าความหมายของ “สังขารธรรม” คือ สภาพธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จะเกิดตามลำพังไม่ได้ แม้แต่รูป จะไม่มีสักรูปเดียวซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีรูปอื่นเกิดร่วมด้วย สภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดจะต้องมีสภาพธรรมอื่นร่วมกันปรุงแต่งเกิดขึ้น ไม่แยกกัน ทั้ง นามธรรมและรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นความคิดก็เป็นจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างจากจิตเห็น จิตได้ยิน

    เรื่องของตัวเราทั้งหมด แต่เราไม่เคยรู้เลย จนกว่าเราจะศึกษาธรรมโดยละเอียด แล้วเราจะเห็นความเป็นอนัตตาว่า บังคับบัญชาไม่ได้ อยากจะเห็น แต่ถ้าตาบอดก็เห็นไม่ได้ อยากจะได้ยิน แต่ไม่มีโสตปสาทก็ได้ยินไม่ได้ อยากจะคิดเรื่องดีๆ ก็คิดเรื่องที่ไม่ดีอีกแล้ว ใช่ไหมคะ บังคับบัญชาไม่ได้ ตามการสะสม แต่ถ้าสะสมบ่อยๆในทางกุศล และมีปัญญา ก็จะคิดในทางที่ดีเพิ่มขึ้น ในทางที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 7986
    6 ก.ย. 2558