ปัญญาต้องมีการตั้งต้น


    แต่คนที่จะหมดกิเลสได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญาแน่นอน ถ้าไม่มีปัญญา แล้วดับกิเลสไม่ได้ แต่ว่าปัญญาก็ต้องมีการตั้งต้น มีการเริ่มต้น ตั้งแต่การที่บุคคลใดก็ตามที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ต้องฟังพระธรรมของพระองค์ก่อน จะได้ทราบว่า เราเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกมาก่อนที่จะได้ฟัง ถ้าทุกคนเข้าใจได้ถูกต้องก่อนฟัง ไม่ต้องฟังค่ะ เสียเวลา ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าทุกครั้งที่ฟังจะรู้ว่า แต่ก่อนเราไม่เคยได้เข้าใจอย่างนี้ แม้แต่ความหมายของคำว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ไม่เคยคิดเลยว่า หมายความถึงสภาพธรรมในขณะนี้ กำลังไม่เที่ยง กำลังเกิดขึ้น และดับไป

    เราไปคิดว่า เกิดมา แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย นั่นคือความไม่เที่ยง เราเข้าใจอย่างนั้น แต่ถ้าศึกษา แล้วจะรู้ได้ว่า ถ้าเข้าใจเพียงเท่านั้น หมดกิเลสไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องซึ่งเราก็รู้ เวลาพูดก็จริง เกิด แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย กิเลสก็ยังอยู่เต็ม ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นความหมายของความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาต้องลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ และผู้ที่ประจักษ์แจ้งพระองค์แรกก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้ทรงแสดงพระธรรม เพื่อจะให้คนอื่นเข้าใจตาม

    ยังจะปฏิบัติอีกหรือเปล่าคะ บางคนก็อาจจะอยู่ว่างๆ ไม่ทราบจะทำอะไร ก็คิดอยากลองทำดู บางคนก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าทราบว่า ถ้าไม่เกิดปัญญา แล้ว ก็ไม่ใช่การเจริญปัญญา แล้วถ้าไม่เกิดปัญญา แล้ว ก็ไม่ใช่ความสงบ เราเรียกเองว่า “ความสงบ” เพราะว่าว่างเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร ก็เข้าใจว่า นั่นสงบ แล้ว แต่ขณะนั้นไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นก็จะเป็นความสงบไม่ได้ ขณะนั้นเป็นโมหะ เป็นความไม่รู้ ถ้าว่างก็คือไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญา คิดเรื่องพระไตรลักษณ์ แต่ไม่ใช่รู้ลักษณะของพระไตรลักษณ์นั้นจริงๆ คิดทั้งวันได้แน่ๆ แต่ไม่ได้ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพที่กำลังเกิดดับในขณะนี้


    หมายเลข 7969
    9 ม.ค. 2567