คัททุลสูตรที่ ๒ ข้อ ๒๕๘


    ตามที่ทรงแสดงไว้ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค คัททูลสูตร ที่ ๒ ข้อ ๒๕๘ มีข้อความว่า

    พระนครสาวัตถี ฯลฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังสาระนี้มีที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลายรู้ไม่ได้แล้ว ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือก ถูกล่ามไว้ที่หลักหรือเสาอันมั่นคง ถ้าแม้มันเดิน มันก็ย่อมเดินใกล้หลักหรือเสานั้นเอง ถ้าแม้มันยืน มันก็ย่อมยืนใกล้หลักหรือเสานั้นเอง ถ้าแม้มันนั่ง มันก็ย่อมนั่งใกล้หลักหรือเสานั้นเอง ถ้าแม้มันนอน มันก็ย่อมนอนใกล้หลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมตามเห็นรูปว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ย่อมตามเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา.

    ปุถุชนนั้น ถ้าแม้เดิน เขาก็ย่อมเดินใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง ถ้าแม้ยืน เขาก็ย่อมยืนใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง ถ้าแม้นั่ง เขาก็ย่อมนั่งใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง ถ้าแม้นอน เขาย่อมนอนใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า จิตนี้เศร้าหมองด้วยราคะ โทสะ โมหะสิ้นกาลนาน

    ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องอะไร พระผู้มีพระภาคก็ตรัสให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ให้พิจารณาลักษณะของจิตว่า จิตนี้เศร้าหมองด้วยราคะ โทสะ โมหะสิ้นกาลนาน ไม่ใช่เฉพาะเดี๋ยวนี้ แต่ว่านานแสนนานมาแล้ว และถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของจิต ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน  เป็นแต่เพียงสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็จะเศร้าหมองต่อไปอีกนานแสนนาน จนกระทั่งเบื้องปลายก็รู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่

    ท่านที่อยากจะรู้เบื้องต้นนี่ ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ขณะนี้ยังไม่รู้เลยทั้งๆที่กำลังปรากฏ แล้วจะไปรู้เบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์นั้น จะรู้ได้อย่างไร มีทางใดที่จะรู้ได้ในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจริงๆในขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ แล้วจะพยายามไปรู้เบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ให้ทราบว่า ขณะนั้นเป็นจิตที่เศร้าหมองด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งก็จะต้องเศร้าหมองต่อไปอีก ถ้าปัญญาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่มีหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ โดยรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทำอย่างอื่นที่จะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ


    หมายเลข 7585
    21 ส.ค. 2558