การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องรู้เพื่อละความไม่รู้


    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน อย่าลืมว่า เป็นเรื่องรู้ ซึ่งละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วหรือความรู้เกิดขึ้น จะค่อยๆละความไม่รู้ แต่ไม่ใช่ที่จะต้องการรู้อย่างอื่น ถ้าขณะใดเกิดความต้องการที่จะรู้รูปอื่นที่ไม่ปรากฏ เช่น จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป หทยรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต และรูปอื่นๆ เช่น ชีวิตินทรียรูป อาโปธาตุ อิตถีภาวรูป หรือปุริสภาวรูป การที่จะรู้ลักษณะของรูปเหล่านั้น ไม่ใช่จะรู้ได้โดยความอยาก เพียงแต่ว่าปัญญาของบุคคลใดจะประจักษ์ในลักษณะของรูปใด หรือว่ารูปใดจะปรากฏ ในขณะที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์พร้อมที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของรูป โดยไม่ใช่ว่าจะเลือกนะคะ ในขณะนี้เอง อิตถีภาวรูปก็มี ปุริสภาวรูปก็มี อาโปธาตุก็มี ชีวิตินทรียรูปก็มี หทยวัตถุก็มี แต่เวลาที่วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้น เพราะได้มีเหตุปัจจัยสมบูรณ์พร้อมที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แล้วแต่ว่ารูปหนึ่งรูปใด กี่รูปจะปรากฏแก่บุคคลแต่ละคน ตามการสะสมที่ต่างกัน แต่จะไม่มีวันที่จะปรากฏ เพราะความต้องการอยากจะรู้รูปหนึ่งรูปใด

    อบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ ความรู้ค่อยๆเพิ่มขึ้น แล้วก็ละคลายความสงสัย ความไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้ ที่กำลังปรากฏ โดยไม่เลือก โดยไม่มีความเป็นตัวตนที่อยากจะรู้รูปนั้น หรืออยากจะรู้นามนี้ และเวลาที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครสามารถที่จะกั้นนามธรรมและรูปธรรมประเภทต่างๆ ซึ่งจะปรากฏในลักษณะความไม่ใช่ตัวตน สำหรับแต่ละบุคคลตามการสะสม

    แต่อย่าลืมนะคะ ขณะใดที่อยาก ขณะนั้นสติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขันธ์หนึ่งขันธ์ใด โดยความเป็นขันธ์ โดยความเป็นปรมัตถ์ คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน  ไม่มีวันที่จะประจักษ์ได้ โดยความอยาก หรือโดยความต้องการ แต่เพราะอบรมเจริญปัญญาแล้วละ เมื่อละ สภาพธรรมก็จะค่อยๆปรากฏเพิ่มขึ้น แจ่มแจ้งขึ้น ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่จะประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมประเภทที่ปรากฏทางมโนทวาร

    เพราะเหตุว่าทางมโนทวารจะแยกขาดลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังปรากฏสืบต่อกันทั้ง ๖ ทวารออก เป็นแต่ละลักษณะโดยชัดเจน


    หมายเลข 7279
    20 ส.ค. 2558