ทางสายกลางคือสติปัฏฐาน


    ผู้ฟัง ความเป็นจริงทางสายกลางมีอรรถอันลึกซึ้งประมาณใด

    ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ไม่พ้นจากความจริง หากเข้าใจว่าทางสายกลาง คือ สติปัฏฐาน ซึ่งเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้เราก็ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ไปคิดว่าท่านพระอานนท์ท่านจะคิดอะไรก่อนที่ท่านจะถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าก่อนที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านพระอานนท์ท่านเป็นพระโสดาบัน ๒๕ พรรษา คือ ๒๕ ปี เพราะท่านก็ได้ฟังพระธรรมมามาก ทุกอย่างก็แจ่มแจ้งแก่ท่าน เพราะเหตุว่าท่านได้ฌาณด้วย ไม่ใช่ท่านฟังอย่างเรา แต่ขณะที่ฟังฌาณจิตเกิดสลับก็ได้สำหรับผู้ที่มีความชำนาญในเรื่องของฌาณ

    เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลจะไปคิดถึงบุคคลอื่นเป็นไปไม่ได้เลย แม้เพียงแต่จะเดา เป็นความคิดของเราเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นอริยบุคคล และเป็นเอตทัคคะถึง ๕ สถาน ใครจะไปคิดถึงจิตของท่านได้ว่า ขณะนั้นท่านตรึกถึงอะไร สิ่งที่ท่านได้ยินได้ฟังละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก ท่านก็มีความเข้าใจมากด้วย แล้วเป็นของธรรมดาที่ท่านก็รู้เรื่องของปัจจัยทั้งหมด เพราะเหตุว่าวิปัสสนาญาณก็ต้องรู้เรื่องปัจจัยด้วย กังขาวิตรณวิสุทธิหมดความสงสัยว่าสภาพธรรมที่กำลังเกิดในขณะนี้มีปัจจัยเกิดปรุงแต่งขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแล้ว เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดกับท่านทั้งหมดตลอดที่ปัญญาของท่านสามารถที่จะรู้ได้มากขึ้นๆ

    วันหนึ่งๆ มีคนที่นอนน้อยด้วยเหตุหลายอย่างที่ทรงแสดงไว้ก็มีหลายประการ สำหรับชีวิตตามความเป็นจริง บางคนนอนน้อยเพราะทำงานมากใช่ไหม ทำงานมากจนกระทั่งนอนนิดเดียวก็มี แต่ถ้าผู้ที่ทำงานทางโลกทำอย่างนั้น และผู้ที่ไม่ได้ทำงานทางโลกอย่างนั้นแต่หลับน้อยก็มี วันหนึ่งๆ บางคนต่อไปก็อาจจะรู้ได้ว่าจะไม่หลับเลยก็เป็นไปได้ ถ้าขณะนั้นมีการตรึกนึกคิดถึงเรื่องต่างๆ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ขณะที่เป็นภวังค์ ขณะนั้นก็ไม่หลับ แต่เรื่องที่เราคิด คิดด้วยกุศลหรืออกุศลในปกติของคนทั่วไป ถ้าคิดด้วยเรื่องอกุศล สบายไหม ระหว่างที่ไม่หลับ และก็คิดแต่เรื่องของอกุศล หมกมุ่นตรึกตรองถึงแต่เรื่องของอกุศล แต่ถ้าผู้ที่มีปัญญา ขณะนั้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม นานเท่าไหร่ก็ไม่ได้เดือดร้อนเลย ใช่ไหม เพราะเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ขึ้น เพิ่มขึ้น ประจักษ์ขึ้น และการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมของท่านพระอานนท์ ใครจะไปเดาหรือคาดคะเนว่า ขณะนั้นท่านมีอะไรเป็นอารมณ์ นอกจากที่ทรงแสดงไว้ว่า ส่วนใหญ่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลมหายใจ เป็นอานาปานสติ

    เพราะฉะนั้นเราไม่เดา เราไม่คิด แต่เรารู้หนทางว่า การที่สภาพธรรมจะปรากฏ และปัญญาจะรู้ความจริงก็เมื่อเป็นสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะเกิด และก็รู้ความจริงขณะนั้น ไม่ได้เดือดร้อนเลย ต่อการที่ท่านจะไปเดือดร้อนว่าท่านนอนน้อยหรืออะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีความคิดว่าจะนอนหรือว่าจะพักผ่อน ท่านจะคิดได้ใช่ไหม ทั้งคืนแล้วเกิดจะคิดว่าจะพักผ่อนก็ได้ แล้วแต่ว่าท่านไม่ได้ห่วงใยเลยว่าแม้ในขณะนั้นสติปัฏฐานจะเกิดไหม ปัญญาจะเกิดไหม ตามปัจจัยซึ่งทำให้ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่ควรจะไปเดาไปคาดคะเน ไปบอกว่าท่านเพียรหนักหรือท่านอะไรต่ออะไรเหมือนกับว่าท่านไม่รู้หนทาง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว


    หมายเลข 7044
    20 ม.ค. 2567