ขณะที่เป็นภวังค์มืดกว่าหรือเปล่า


    ขณะที่เป็นภวังค์ มืดกว่าหรือไม่ เพราะจริงๆ จะใช้คำว่ามืดกว่าก็เพียงแต่เทียบเคียง แท้จริงแล้วไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่กรรม ด้วยความน่ามหัศจรรย์ของนามธรรมซึ่งเป็นจิต เจตสิก กรรมทำให้จิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้เกิดพร้อมกับเจตสิก ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วยังไม่สิ้นสุด ทำให้วิบากจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติไม่ปรากฏลักษณะที่มืดสว่าง สีสันวัณณะ กลิ่น เสียงอะไรไม่มีเลยทั้งสิ้น นี่คือการเห็นผลของกรรมในวันหนึ่งๆ ว่าเราไม่พ้น ใครจะพ้นผลของกรรม หรือกรรมที่ได้กระทำแล้วไม่ได้เลย เพราะต้องตื่นทุกคนใช่ไหม เพื่อรับผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น หมายความถึงวิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมทางหนึ่งทางใดใน ๕ ทาง จะกล่าวคร่าวๆ เพราะจะไม่กล่าวถึงตทาลัมพนจิตที่เกิดทางมโนทวาร เว้นไปเลย จะกล่าวถึงที่เราสามารถจะรู้ได้คือในขณะที่เห็น

    ทราบหรือไม่ว่า เพราะกรรมที่จะให้ผลทำให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่ถึงกาละที่กรรมจะทำให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แต่กรรมจะทำให้โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินก็เป็นต่างขณะ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับกรรมทั้งหมดที่ทุกคนตื่นขึ้นแล้วเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะเหตุว่ากรรมนั้นที่ได้กระทำแล้วสุกงอมพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้นทางไหน ก็ทำให้รูปกระทบกับปสาททางนั้นๆ และหลังจากที่เป็นภวังคจลนะ และภวังคุปัจเฉทะดับแล้ว วิถีจิตแรกคือปัญจทวาราวัชชนจิตต้องเกิดเป็นวิถีปฏิปาทกมนสิการ เป็นบาทเฉพาะแก่จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ใครทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย แต่เป็นเรื่องของกรรม นามธรรมซึ่งมองไม่เห็นแต่เจตนาที่ได้สำเร็จเป็นกรรมแล้วพร้อมที่จะให้ผลตั้งแต่ปฏิสนธิจิตเกิด มีปสาทรูปสำหรับที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น เป็นผลของกรรมเกิดขึ้นทางทวารต่างๆ แต่ต้องทราบด้วยว่าเป็นอเหตุกจิตที่เป็นวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๕ ประเภทเป็นอกุศลวิบาก ๗ เป็นกุศลวิบาก ๘ ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ไม่มีใครพ้นไปได้เลย


    หมายเลข 6843
    20 ม.ค. 2567