อชิตมานวกปัญหานิเทศ อะไรเล่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก


    เพื่อที่จะให้ผู้ที่ยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของโลภะหรือตัณหาได้ทราบว่า โลภะหรือตัณหานั้นมีเป็นประจำ ถ้าท่านระลึกเมื่อไรก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้น ลักษณะนั้น เป็นสภาพของตัณหา เป็นสภาพของโลภะ ซึ่งถ้าท่านรู้เพียงพยัญชนะเดียว ท่านก็อาจจะไม่ทราบว่า ในขณะอื่นนั้นก็เป็นลักษณะของโลภะด้วย

    ขุททกนิกาย จุฬนิทเทส อชิตมาณวกปัญหานิทเทส พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านอชิตะซึ่งทูลถามว่า

    อะไรเล่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก

    เครื่องฉาบทาโลกนี้ หมายความว่าทำให้ไม่เห็นโลก คือ นามรูปตามความเป็นจริง นามรูปก็เป็นแต่เพียงนาม เป็นแต่เพียงรูป มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เพราะว่ามีเครื่องฉาบทาไว้จึงทำให้ไม่ประจักษ์ลักษณะของโลก คือ นามรูปตามความเป็นจริง

    ผู้ที่ต้องการจะประจักษ์ลักษณะของโลกตามความเป็นจริง คือ ท่านอชิตะก็ได้ไปกราบทูลถามว่า

    อะไรเล่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    เรากล่าวว่า ตัณหาเป็นเครื่องฉาบทาโลก ความว่า ตัณหาเรียกว่า ชัปปา ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความยินดี ความพลอยยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต ความปรารถนา ความหลง ความติดใจ ความอยาก ความพัวพัน ความข้อง ความจม คือ ไม่สามารถที่จะถอนขึ้นจากความพอใจนั้นได้เลย ความหวั่นไหว

    เวลาที่หวั่นไหว มีความพอใจอย่างหนึ่งอย่างใด ก็อาจจะกลัวว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น ก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวไป

    ความลวง ได้แก่ การหลอกทั้งตัวเองและคนอื่นด้วย

    อย่างบางคนอยากจะได้ญาณเสียเหลือเกิน อะไรๆ ก็ได้เป็นญาณแล้ว หลอกตัวเอง และยังจะไปหลอกคนอื่นอีกว่า คนอื่นได้เหมือนกันแล้ว มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน หรืออะไรๆ อย่างนั้น เป็นญาณนั้นญาณนี้

    ความอยากต่างๆ ทำให้ถึงกับหลอกตัวเองได้ และยังหลอกคนอื่นก็ได้ นี่เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะความอยาก แต่การเจริญสติปัฏฐานละความไม่จริง ละความคด ไม่ใช่ว่าท่านปรารถนาเสียจนกระทั่งว่าอะไรๆ ก็เป็นญาณทั้งนั้น


    หมายเลข 6425
    6 ต.ค. 2566