สัปปุริสสูตร


    เพื่อประกอบความเข้าใจของท่านผู้ฟัง ขอกล่าวถึงมัชฌิมนิกาย อุปริปันนาสก์ ภาค ๑ ซึ่งมีข้อความต่อหนึ่งว่า

    ณ พระวิหารเชตวัน พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุ ทรงแสดงสัปปุริสสูตรกับท่านพระภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อสัตบุรุษเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร อสัตบุรุษนั้นจึงยกตน ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ อสัปปุริสธรรม ฯ

    ส่วนสัตบุรุษแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไป เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถึงแม้ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติธรรมอันสมควร คนทั้งหลายก็ต้องบูชาสรรเสริญเธอในที่นั้นๆ สัตบุรุษนั้นทำการปฏิบัติแต่ภายในเท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ สัปปุริสธรรม ฯ

    ส่วนข้อความต่อไปก็เป็น

    อสัตบุรุษเป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ซึ่งกิเลสนั้นย่อมไม่หมดไป เพราะความเป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

    อสัตบุรุษเป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ซึ่งกิเลสนั้นย่อมไม่หมดไป เพราะความเป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร

    อสัตบุรุษเป็นผู้อยู่โคนไม้เป็นวัตร ซึ่งกิเลสนั้นย่อมไม่หมดไป เพราะความเป็นผู้อยู่โคนไม้เป็นวัตร

    อสัตบุรุษเป็นผู้อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ซึ่งกิเลสนั้นย่อมไม่หมดไป เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าช้า

    นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของธุดงค์ ขัดเกลานานาประการ นอกจากนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสถึง อสัตบุรุษที่ได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไปจนกระทั่ง เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วตรัสว่า กิเลสย่อมไม่ให้หมดไป เพราะได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไปจนกระทั่ง เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

    นี่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าถ้าเช่นนั้น ประพฤติปฏิบัติเช่นไร กิเลสจึงจะหมดไปได้ เพราะเหตุว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียด และลึกมาก ถ้าไม่รู้ชีวิตจริงๆ เป็นปกติ

    กิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่ลึกมาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ป่าเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกลเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร แต่ถึงอย่างนั้นกิเลสย่อมไม่หมด เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร หรือแม้จะได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌานไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็ไม่ทำให้กิเลส หมดไปได้

    ถ้าเช่นนั้นประพฤติปฏิบัติเช่นไร กิเลสจึงจะหมดไปได้ เพราะเหตุว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียดแล้วก็ลึกมาก ถ้าไม่รู้ชีวิตจริงๆ เป็นปกติ ที่มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะละคลายกิเลสได้เลย

    ข้อความตอนท้ายมีว่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค

    ทรงกล่าวให้ไปอยู่ป่าหรือไม่


    หมายเลข 5683
    2 ต.ค. 2566