ฝันไม่ใช่ภวังค์


    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เป็นภวังคจิตทำภวังคกิจ มีเรา หรือไม่ รู้สึกว่าเป็นเรา หรือไม่ ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ขณะที่จะฝันเลือกได้ไหมว่า คืนนี้จะไม่ฝัน นี่คือความเป็นอนัตตา แม้แต่คิดระหว่างที่ยังไม่ฝันก็เลือกไม่ได้ เวลาที่นอนหลับสนิทอยากฝันเรื่องสนุกๆ ก็ไม่ฝัน อาจจะฝันเรื่องที่น่าตกใจ น่ากลัวก็ได้ นี่คือความเป็นอนัตตา แต่ให้ทราบว่าฝันไม่ใช่ภวังค์ เพราะว่าภวังค์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน มีญาติพี่น้อง มีบ้านช่องอยู่ที่ไหนไม่รู้เลยขณะที่เป็นภวังค์ แต่ขณะที่ฝัน ฝันด้วยกุศลจิต หรืออกุศลจิต เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ไม่ฝัน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฝันขณะที่กำลังฝันต้องเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต ทุกคนคิดแต่ไม่รู้ว่าขณะที่คิดเป็นกุศลจิตที่คิด หรือเป็นอกุศลจิตที่คิด คิดสงสารเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต คิดไม่ชอบ โกรธ เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าฝันทั้งหมดต้องเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต แต่ก่อนฝันกำลังเป็นภวังค์ จะเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตทันทีไม่ได้ จิตที่จะเปลี่ยนจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง หรือจะเปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่ง คือ สิ่งที่จิตกำลังรู้ไปสู่อีกอารมณ์หนึ่งโดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลยนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ระหว่างที่กำลังเป็นภวังค์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะเกิดฝันขึ้น ขณะนั้นต้องมีกิริยาจิต ซึ่งไม่ใช่ชาติวิบาก และไม่ใช่กุศล และอกุศล แต่เป็นจิตที่นึก หรือคิดถึงอารมณ์ทางใจ เพราะขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย เพราะฉะนั้นเวลาฝันไม่ใช่ภวังคจิต ต้องมีจิตแรกที่เกิดต่อจากภวังคจิต เพราะว่าจิตจะรู้อารมณ์ได้ ๖ ทาง คือ ทางตา๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ ทางใจ ๑ จิตที่รู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ ต่อจากภวังค์เป็นวิถีจิตแรก เพราะเราทราบแล้วว่า "ภวังคจิต" หมายความถึงจิตที่เกิดโดยไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และก็มีอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ เพราะว่าการที่จะรู้อารมณ์ของโลกนี้ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใด คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือกาย หรือใจ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 23


    หมายเลข 5555
    17 ม.ค. 2567