รู้ความเป็นปัจจัยของนามและรูปละเอียดขึ้น


    การเจริญสติรู้อะไร ขณะไหน ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน อย่าผละไปที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน ถ้าผละไปก็ไม่มีทางรู้ความจริงที่เกิดจากทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นเรื่องที่ผู้เจริญสติปัฏฐานทุกท่านที่ปัญญาเจริญขึ้นก็จะยิ่งรู้ความเป็นปัจจัยของนามและรูปละเอียดขึ้น แล้วก็ละคลายมากขึ้น ปรากฏการเกิดดับสืบต่อที่เป็นสัมมสนญาณก่อน แล้วถึงจะละคลายแล้วก็ประจักษ์การเกิดดับที่เป็นอุทยัพพยญาณได้ แต่ไม่ใช่ว่าด้วยความไม่รู้อะไรเลยรู้ อย่างนามรูปปริจเฉทญาณ รู้ลักษณะความต่างกันของนามและรูป เพียงรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามและรูป ยังไม่คลาย ยังไม่สามารถที่จะเกิดปัญญาประจักษ์การเกิดดับของนามรูป เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นภัย แล้วก็ละคลายได้มากขึ้น เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์เพียงขั้นที่ประจักษ์ลักษณะของนามและรูป โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน แต่ละนามแต่ละรูปทางมโนทวาร ไม่ปรากฏความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตน แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วยที่จะกะเกณฑ์ให้ประจักษ์รูปนั้นนามนั้นสำหรับทุกๆ คน แล้วแต่ว่าถ้าปัญญาของใครที่ได้สะสมการเจริญสติปัฏฐาน สมบูรณ์ที่จะเกิดนามรูปปริจเฉทญาณในขณะนี้ ปัญญาความรู้ชัด จะรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทางมโนทวาร โดยสภาพความไม่ใช่ตัวตน ไม่สืบต่อในลักษณะของการที่เป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นจะกะเกณฑ์ไม่ได้ว่าใครจะต้องรู้เฉพาะรูปนั้น หรือว่าจะต้องรู้เฉพาะนามนี้ และบุคคลหนึ่งจะรู้ลักษณะของนามกี่ชนิด รูปกี่ชนิด ในขณะที่ปัญญาสมบูรณ์เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ก็ไม่สามารถที่จะจำกัดไปได้ ว่าจะต้องรู้นามรูปเท่าๆ กัน หรือว่ากี่ประเภทเท่าๆ กัน แต่ว่าแค่นั้นก็ยังไม่พอ ผู้เจริญสติปัฏฐานก็ต้องเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปต่อไปอีก การรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยก็ละเอียดขึ้นมากขึ้น ไม่ใช่ว่าผู้เจริญสติปัฏฐาน ไม่รู้ ไม่รู้ ก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ หรือว่าเพียงรู้ปัจจัยนิดๆ หน่อยๆ ก็จะละคลาย แล้วก็จะไปประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามรูปเป็นอุทยัพพยญาณ เป็นเรื่องของการเจริญสติปัญญาเพิ่มความรู้มากขึ้น แล้วก็เรื่องของการที่จะสมบูรณ์เป็นญาณแต่ละขั้นนั้นก็เป็นเรื่องของอนัตตา


    หมายเลข 5450
    28 ก.ย. 2566