เมื่อไม่รู้ว่าทุกขณะเป็นธรรม ก็เป็นเราทั้งหมด


    จิตจะต้องมีทางรู้อารมณ์ ๖ ทาง จิตเป็นสภาพรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้จริง แต่ว่าถ้าไม่มีตาจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ โลกสว่างประกอบด้วยสีสันต่างๆ ทำให้นึกถึงคน และวัตถุรูปร่างต่างๆ จะมีไม่ได้เลยถ้าไม่มีจักขุปสาท ซึ่งเป็นทางจะให้จิตเกิดขึ้นเห็น

    สำหรับทางหู แม้ว่าจิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ก็ต้องมีทางคือโสตปสาทรูป เป็นรูปที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง จะไม่กระทบกับรูปอื่นเลยนอกจากเสียง เพราะฉะนั้นขณะใดที่ผู้ใดมีโสตปสาท และก็มีเสียงกระทบ ขณะนั้นจิตก็เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของเสียง เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกันก็จะมีความรู้สึกในเสียงที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมด เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ไม่ใช่เราแต่ว่ามีความละเอียดที่เราจะต้องรู้ว่า วันหนึ่งๆ ที่เรากล่าวว่าวินาที เสี้ยววินาที ชั่วโมง หรือเหตุการณ์ใหญ่ๆ แท้ที่จริงเพราะจิตเกิดขึ้น และก็ดับไป และก็เกิดขึ้น และก็ดับไปสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ขาดจิตเลย เพราะฉะนั้นเราจึงมีคำที่ใช้แสดงถึงว่า แม้ว่าเป็นเรื่องของจิตประเภทต่างๆ แต่เมื่อไม่รู้ก็เป็นเราทั้งหมดเช่น เราหลับ เราตื่น เราเห็น เราได้ยิน เราคิด เราสุข เราทุกข์ สภาพธรรมที่มีทั้งหมดกลายเป็นเราด้วยความไม่รู้ แม้แต่รูปของเรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า

    ความจริงรูปก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน คือรูปบางกลุ่มหรือบางกลาป เพราะรูปจะเกิดตามลำพังรูปเดียวไม่ได้ รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอุตุ (ความเย็นความร้อน) เป็นสมุฏฐาน รูปบางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน ที่ร่างกายของสัตว์บุคคลก็จะมีรูปที่เกิดจากสมุฏฐานครบทั้งสี่ แต่ไม่ใช่ว่ารูปหนึ่งมีสมุฏฐาน๔ รูปใดเกิดจากสมุฏฐานใดก็เกิดจากสมุฏฐานนั้นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นที่ตัวของเราเนื่องจากไม่รู้ก็ยึดถือหมด ตาของเรา หูของเรา ร่างกายของเรา แต่ความจริงก็เป็นรูป รูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 11


    หมายเลข 5190
    16 ม.ค. 2567