การรู้วาระจิตของตนทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้น


    ส.   ขณะนี้ ท่านผู้ฟังที่กำลังฟัง ศึกษาวาระจิตของตน  ยากไหมคะ ขณะนี้คะ กุศล หรือ อกุศล ที่ยากเพราะเหตุว่ าจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก  เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ  ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ย่อมไม่ทราบวาระจิตว่า  ขณะนี้เป็น อกุศล หรือเป็นกุศล  เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การรู้วาระจิตนี่คะ จะมีประโยชน์ มากที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้น  เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า หากว่า ภิกษุไม่ฉลาดในวาระจิต ของผู้อื่นไซร้  เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุทั้นพึงศึกษาว่า เราจะเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้แล ต่อไปพระผู้มีพระภาค ทรงอุปมาเพื่อที่จะให้เห็นประโยชน์ ของการศึกษาวาระจิตของตน พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือน สตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุมสาว มีปกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องอันบริสุทธิหมดจด หรือในภาชนะน้ำอันใส  ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็

    พยายามเพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย  ถ้าว่าไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น  ก็ย่อมดีใจ   มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า  เป็นลาภของเราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า เรามีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ ไม่มีอภิชฌาอยู่ โดยมาก  ทุกท่านตอบได้ไหม คะ ว่า สำหรับท่านที่เป็นผู้ที่ ระลึกรู้ลักษณะของจิตว่า จะเป็นผู้ที่มี อภิชฌาอยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่ โดยมาก ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ  หรือว่าเราเป็นผู้ มีจิตไม่พยาบาทอยู่ โดยมาก เราเป็นผู้มีอันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ  อยู่โดยมาก ถีนะมิถะก็ได้แก่ความหดหู่ ความท้อถอย  เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก  เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยอยู่โดยมาก   เราเป็นผู้มีความโกรธอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้ไม่มึความโกรธอยู่โดยมาก   เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมอง อยู่โดยมาก   เราเป็นผู้มีกายอันปรารถแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารถแรงกล้าอยู่โดยมาก เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก  เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอ   หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้  ย่อมเป็นอุปการมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่  ย่อมรู้อย่างนี้ เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้น ควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสหาะ  ความขะมักเขม้น  ความไม่ท้อถอย  สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้  หรือมีศีรษะอันไฟไหม้  พึงทำความพอใจ ความพยายาม  ความอุตสาหะ   ความขะมักเขม้น   ความไม่ท้อถอย   สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อดับไฟไหม้ผ้า หรือไฟไหม้ศีรษะนั้น ฉันใด  ภิกษุนั้นพึงทำความพึงทำความพอใจ ความพยายาม   ความอุตสาหะ  ความขะมักเขม้น   ความไม่ท้อถอย   สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อ ละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาป อกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก้ถ้าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก ข้อความซ้ำ ต่อไป นถึง เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้น  มีท่านผู้ฟังสงสัยอะไรไหมคะ ในตอนนี้ แม้ว่าจะทรงเตือน ให้ระลึกได้ว่าขณะ นี้ ถ้าสติไม่เกิดขึ้น ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ก็เหมือนบุคคลที่มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะอันไฟไหม้ ไม่ใช่ในขณะอื่น แต่ในขณะที่สติไม่เกิดขึ้น ไม่ระลึกรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงก็ เพื่อที่จะ อุปการเกื้อกูลให้เป็นผู้ที่เจริญกุศล ธรรมจึงจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท


    หมายเลข 5150
    19 ส.ค. 2558