ที่โลกวุ่นวายเพราะมีความเป็นเรา มีความเป็นเขา


    ที่โลกวุ่นวายก็เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจซึ่งกัน และกัน เพราะเหตุว่ามีความเป็นเรา และมีความเป็นเขา แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรม โลภะความติดข้องของเขาที่เรากำลังเห็น กับของเราก็เหมือนกัน โทสะที่เราคิดว่าเขากำลังโกรธ มีกิริยาอาการที่ไม่น่าดู มีคำพูดที่ไม่น่าฟัง โทสะของเราก็เหมือนอย่างนั้น แต่เรายึดถือว่าเป็นเราเป็นเขา แต่ตามความจริงก็คือลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้น ที่มีปัจจัยแล้วปรุงแต่งแล้วเกิด เราจะจัดการอะไรไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงความคิด หลังจากที่เห็น หลังจากที่ได้ฟัง ก็คิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงๆ แม้ขณะคิดก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต และเจตสิกซึ่งเกิดแล้ว เพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วที่จะคิดอย่างนั้น

    ถ้าเป็นความเข้าใจอย่างนี้ เราก็จะเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้จิตเจตสิกเกิด เป็นไปไม่ได้เลย จะให้จิต เจตสิกประเภทนี้เกิด ไม่ให้จิต เจตสิกประเภทนั้นเกิด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต่อจากนี้ เราก็คงจะศึกษาเรื่องของจิตละเอียดขึ้น ว่าลักษณะของจิตเป็นอย่างไร แต่ก่อนอื่นเราต้องมีพื้นฐานที่จะเข้าใจธรรม เข้าใจสังขารธรรม ว่าได้แก่จิต เจตสิก รูป ส่วนนิพพาน ไม่ใช่สังขารธรรมเป็น วิสังขารธรรม” พ้นจากสังขารที่จะปรุงแต่งให้เกิด และใช้คำว่า “สังขตธรรม” คือขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมใดเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นสังขตธรรม เกิดแล้วเพราะปัจจัยปรุงแต่ง แล้วเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ และสังขตธรรมก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นสำหรับจิต เจตสิก รูป เป็นสังขตธรรม นิพพานเป็นอสังขตธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม นิพพานเป็นวิสังขารธรรม แล้วขันธ์ ๕ ก็คือว่าเรายึดถือนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นเรา นานมาก การที่จะให้มีปัญญารู้แจ้งชัดว่าไม่ใช่เรา และก็ละความเห็นที่ยึดถือว่าเป็นเราก็ต้องนานมากด้วย แต่ว่าเป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องของการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งเรามาเรียกต่างๆ ว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นคนนั้นคนนี้ แต่ความจริงทั้งหมดก็เป็นธรรม ถ้าเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจเรา และเขา ทุกคนได้ก็จะมีความเห็นใจกัน และก็จะเป็นกุศลเพิ่มขึ้น มีการอภัยให้ได้ และก็มีกุศลประการอื่นๆ ด้วย

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 10


    หมายเลข 5145
    16 ม.ค. 2567