เจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดิน ในมหาราหุโลวาทสูตร


    ผู้ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูนั้นมีน้อย ผู้ที่เป็นวิปัญจิตัญญูนั้นมีน้อย ส่วนผู้ที่เป็นเนยยบุคคลนั้นต้องเจริญสติปัฏฐานมาก ระลึกรู้นามรูปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะชิน จนกว่าจะคลาย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะละคลายได้โดยรวดเร็ว ถ้าผู้นั้นไม่ได้สะสมอินทรีย์มาแก่กล้า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านพระราหุลใน

    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มหาราหุโลวาทสูตร มีข้อความว่า

    ณ พระวิหารเชตวัน ซึ่งครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ท่านพระราหุลเป็นปัจฉาสมณะ ตามหลังพระผู้มีพระภาคไป และพระผู้มีพระภาคได้ทรงโอวาทท่านพระราหุล ทำให้ท่านกลับไป เพราะเห็นว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสโอวาทแก่ท่านแล้ว ท่านก็ควรที่จะเจริญสมณธรรม

    เมื่อท่านกลับจากที่นั้นแล้ว ท่านนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้เห็นท่านพระราหุลนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วบอกกับท่านพระราหุลว่า

    ดูกร ราหุล ท่านจงเจริญอานาปานสติเถิด ด้วยว่า อานาปานสติภาวนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระราหุลออกจากที่เร้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์

    เวลาที่อ่านพระสูตรตอนแรกๆ ก็อาจจะข้ามพยัญชนะ ไม่ค่อยได้คิดถึงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดบุคคลนั้นจึงได้กล่าวกับบุคคลนั้นว่าอย่างนั้น แต่ว่าถ้าท่านอ่านซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะเกิดความแจ่มแจ้งถึงเหตุถึงผลได้ และเข้าใจได้โดยตลอดว่า เพราะเหตุใดท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวกับท่านพระราหุลอย่างนั้น แต่เมื่อท่านพระราหุลออกจากที่เร้น ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วก็กราบทูลถามว่า

    อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์

    แสดงว่าท่านพระราหุล เจริญอานาปานสติภาวนาตลอดเวลาเหล่านั้น

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของรูป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านพระราหุลท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทเจริญสติปัฏฐาน

    แสดงว่าท่านพระราหุล เจริญอานาปานสติภาวนาตลอดเวลาเหล่านั้น

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของรูป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านพระราหุลท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบท เจริญสติปัฏฐานเป็นเวลานาน ไม่ใช่เป็นเวลาเล็กน้อย แต่ว่าท่านพระภิกษุในครั้งโน้นท่านมีศรัทธาออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เจริญสติปัฏฐานกันวันแล้ววันเล่าทีเดียว แต่การที่จะละคลายการยึดถือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ต้องเจริญเป็นเวลานาน

    ในมหาราหุโลวาทสูตร พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงลักษณะของรูป คือ ธาตุดินส่วนต่างๆ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างในปฏิกูลมนสิการบรรพ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยความว่า ส่วนต่างๆ เหล่านั้นเป็นปฐวีธาตุภายใน แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ก็ปฐวีธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อันใด ปฐวีธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุเหมือนกัน ปฐวีธาตุนั้นเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ เพราะบุคคลเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ จิตย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ

    ต่อไปเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ อากาศธาตุ

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกร ราหุล เธอจงเจริญภาวนา คือ อบรมจิตเสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้างลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ไม่ว่าจะเป็นท่านพระราหุล หรือท่านพระภิกษุในครั้งโน้นซึ่งมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีวิบากกรรมที่ได้สะสมที่จะได้รับกระทบอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เมื่อกิเลสยังมีเป็นเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้ จักไม่ครอบงำก็เพราะเหตุว่าผู้นั้นเจริญสติ

    เวลาที่ให้เจริญอบรมจิตเสมอด้วยแผ่นดินไม่ใช่ให้นึกเอา แต่ว่าท่านพระราหุลท่านก็เจริญสติปัฏฐาน ได้ฟังธรรม ระลึกเป็นไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในนาม ในรูป ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าจิตยังไม่เสมอด้วยแผ่นดินย่อมทำให้ยึดถือนามรูปที่กำลังกระทบด้วยความพอใจ ไม่พอใจ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยทิฏฐิบ้าง ด้วยตัณหาบ้าง ด้วยมานะบ้าง แล้วแต่คุณธรรมของบุคคลที่กำลังเจริญสติ ถ้าผู้นั้นยังไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล เวลากระทบกับความชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ขณะที่ไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงนามเป็นแต่เพียงรูป ไม่ละไม่คลาย ย่อมถูกครอบงำด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างในขณะนั้นได้ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสให้ท่านพระราหุลละคลายการที่จะยึดถือ ให้จิตที่กำลังเจริญอบรมภาวนานั้นเสมอด้วยแผ่นดิน ที่จะไม่ยึดมั่นด้วยความเป็นตัวตน หรือว่าด้วยตัณหา ด้วยมานะใดๆ ทั้งสิ้น

    ในพยัญชนะที่ว่า ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุปัจจัย


    หมายเลข 5016
    25 ก.ย. 2566