ทำไมถึงทรงยกธาตุมนสิการเป็นบรรพหนึ่ง


    มหาสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก คราวก่อนได้พูดถึงเรื่องธาตุมนสิการบรรพให้ท่านผู้ฟังได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงให้พิจารณา กายในกาย ทั้งภายในภายนอก โดยความเป็นธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งท่านที่ไม่ได้พิจารณาพยัญชนะ ไม่ได้ฟังธรรมด้วยความไตร่ตรอง อาจจะไม่ทราบว่า ท่านเคยเข้าใจถูกต้องตรงตามนี้หรือเปล่า ทำไมจึงได้ยกธาตุมนสิการบรรพขึ้นเป็นบรรพหนึ่งในการพิจารณาเห็นกายในกาย ลองคิดดู ทำไมจึงได้ยกธาตุมนสิการบรรพ คือการพิจารณา ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นบรรพหนึ่งในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่กายนี้มีอะไรเป็นใหญ่เป็นประธาน มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นั่นเอง ลมหายใจที่ปรากฏกระทบ มีดิน น้ำ ไฟ ลม ไหม ก็มี หรือว่าปฏิกูลมนสิการบรรพ การระลึกที่ความเป็นปฏิกูลของผม ของขน ของเล็บ ของฟัน ของหนังเหล่านั้น เป็นต้น มีธาตุทั้ง ๔ นี้ไหม มี เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะรู้ความจริงก็จะต้องรู้ลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ ลักษณะที่ปรากฏทางกายให้รู้ได้ มีอะไร ท่านที่เจริญสติตอบได้ไหม ลักษณะที่กายที่ปรากฏให้รู้ได้ คือลักษณะอะไรในขณะที่เจริญสติ ในขณะที่สติกำลังระลึกที่กายมีลักษณะอะไรปรากฏให้รู้ได้ ก็ต้องมีธาตุเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ว่าบางท่านไม่เคยระลึกอย่างนี้เลย กำลังนั่งระลึกที่ไหน รูปนั่ง ไม่ได้คิดถึงธาตุมนสิการบรรพเลย แล้วบางท่านยังกล่าวด้วยว่าไม่ให้รู้ที่แข็ง ที่อ่อน ที่ร้อน ที่เย็น ที่ตึง ที่ไหว ที่ปรากฏที่กาย บางท่านกล่าวว่าอย่างนี้ แต่ว่าขอให้ดูว่า ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธาตุมนสิการบรรพแสดงไว้ว่าอย่างไร ตรงกันไหมกับความคิดความเข้าใจของท่าน ขณะที่กำลังยืน ถ้าท่านมีสติระลึกที่กาย ลักษณะใดปรากฏ ตึง หรือไหว หรืออ่อน หรือแข็ง หรือร้อน รูปต่างๆ เหล่านี้ปรากฏไหม เป็นรูปที่ปรากฏให้รู้ แต่ไม่รู้ ไปรู้ที่รูปยืน มีไหมในพระไตรปิฏก รูปยืน ทำไมไม่ตรวจสอบดู รูปที่กำลังยืนมีลักษณะอะไรที่จะต้องรู้ แล้วทำไมกล่าวว่าไม่ให้รู้ที่แข็งที่ปรากฏที่กระทบ อย่างนั้นจะตรงกับธาตุมนสิการบรรพที่เป็นธาตุดินไหม ไม่ตรง แล้วเจริญอะไร ไม่ได้ตรงกับกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ได้ตรงกับมหาสติปัฏฐานเลย

    ที่กายนี้ท่านที่มีสติระลึกได้ ขอให้ตอบตามความเป็นจริงว่ามีลักษณะของรูปใดปรากฏ ลักษณะทีละลักษณะตามความเป็นจริง มิฉะนั้นจะไม่ทรงยกธาตุมนสิการบรรพไว้ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเลย แต่ยกไว้เพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ว่าจะกำลังยืน กำลังนั่ง กำลังนอน กำลังเดิน หรือว่าจะมนสิการในความเป็นปฏิกูลของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใดๆ ก็ตาม ก็จะต้องรู้ลักษณะของรูปที่กายตามความเป็นจริง เห็นกายในกายโดยความเป็นธาตุ แล้วเป็นรูปปรมัตถธรรมใน ๒๘ รูปไหม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นไหม เป็นรูปที่ควรรู้ไหม เพราะปรากฏ มีใครบ้างไม่เย็น ไม่ร้อน ไม่อ่อน ไม่แข็ง รูปต่างๆ เหล่านี้ปรากฏ เมื่อปรากฏแล้วไม่ควรรู้หรือ ทำไมกล่าวว่าไม่ให้รู้ที่แข็ง ไม่ให้รู้ที่อ่อน ไม่ให้รู้ที่ร้อน ไม่ให้รู้ที่เย็น เสียงเหมือนกันเป็นรูปที่ปรากฏหรือเปล่า เมื่อเป็นรูปที่ปรากฏควรรู้ไหม หรือว่าไม่ควรรู้ สิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้จะชื่อว่าปัญญาได้ไหม ปรากฏตลอดวันตลอดเวลาที่มีการได้ยิน แล้วไม่ให้รู้เสียง ไม่ให้รู้รูปที่ปรากฏทางหู แล้วจะให้รู้รูปอะไร ไม่ให้รู้รูปสี ไม่ให้รู้รูปเสียง ไม่ให้รู้รูปแข็ง รูปอ่อน รูปร้อน รูปเย็น ที่ปรากฏ แล้วจะให้รู้อะไร สิ่งที่ปรากฏไม่รู้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


    หมายเลข 4933
    25 ก.ย. 2566