ความเป็นปฏิกูลของกายโดยนัยของวิปัสสนาภาวนา


    ถ้าสมมติว่าพบส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย จับดู อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน เพราะฉะนั้น โดยนัยของการเจริญสติปัฏฐานนั้นเพื่อรู้ลักษณะโดยความเป็นธาตุ เพราะเหตุว่าบางท่านนั้นไม่สามารถที่จะพิจารณาธาตุโดยตรง ที่มีอยู่ที่กายได้ ที่กายนี้ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานก็มี ๔ ธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่เพราะเหตุว่าไม่ระลึกบ่อยๆ เนืองๆ แต่อาจจะเป็นผู้ที่ระลึกถึงความเป็นปฏิกูลของส่วนต่างๆ เสียก่อน แล้วจึงจะรู้ชัดในลักษณะของสิ่งนั้น โดยความเป็นธาตุอีกทีหนึ่ง

    เย็นร้อนอ่อนแข็งทุกวันๆ ระลึกบ่อยไหม จับผม ก็ถูกแข็งๆ จับเล็บก็แข็งอีก แต่ก็ไม่ได้ระลึกรู้ในลักษณะที่แข็งนั้น แต่พอจิตระลึกถึงความเป็นปฏิกูลก่อน แล้วก็ระลึกรู้ลักษณะของความเป็นธาตุของเล็บได้ ของผมได้ โดยอาการของธาตุดิน โดยอาการของธาตุต่างๆ

    ถ้าพิจารณาแล้วปฏิกูล ท่านจึงให้หมั่นพิจารณาเนืองๆ ถึงความเป็นปฏิกูลของส่วนต่างๆ ที่ปฏิกูลจริงๆ แต่ไม่ปรากฏ อย่างเช่น ส่วนต่างๆ หนังหุ้มไว้มิดชิดเป็นที่สุดรอบ แต่ว่าพอดึงหนังตั้งแต่เบื้องบนริมฝีปากไปจนกระทั่งตลอดร่างกาย ความเป็นปฏิกูลทุกหนทุกแห่ง จะหาแก้วมณีเพชรนิลจินดาอะไรสักอย่างเดียวในร่างกายนี้ไม่ได้เลย แต่เพราะเหตุว่าหนังปกปิดไว้ชั้นหนึ่ง แล้วยังพวกสิ่งที่จรมาเป็นพวกเครื่องประดับประดาต่างๆ ก็ทำให้ไม่เห็นความเป็นปฏิกูล เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ความจริงคือความเป็นปฏิกูลของสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะต้องหมั่นระลึกถึงความเป็นปฏิกูล แล้วรู้ชัดโดยความเป็นธาตุ เพื่อจะได้ไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน


    หมายเลข 4770
    24 ก.ย. 2566