ปรมัตถธรรมมีลักษณะอย่างไร


    ส.   ลักษณะของปรมัตถธรรมปรากฏ อย่างเสียงเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง และกำลังปรากฏ ได้ยินก็มีจริงๆ แต่ไม่เคยระลึกว่า นอกจากเสียงแล้ว ต้องมีสภาพที่รู้เสียง จะมีเสียงแล้วไม่มีสภาพรู้หรือได้ยินไม่ได้ ก็ต้องรู้ว่า ในขณะที่เสียงปรากฏก็ต้องมีสภาพที่รู้ จนกระทั่งถอยลงไปตั้งแต่เกิดจนตาย จนถึงเดี๋ยวนี้  หรือในขณะนั้นเองก็มีแต่นามธรรมและรูปธรรม คือระลึกได้เสมอว่า มีแต่สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ในความเป็นปรมัตถ์ นี่คือการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ เมื่อรู้ว่าเป็นปรมัตถ์จึงไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าลักษณะของปรมัตถ์แต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะ แล้วก็ปรากฏ  แล้วก็หมดไปด้วย ไม่ได้ปรากฏมากมายที่จะตั้งอยู่ ทรงอยู่เลย แต่ขณะใดที่ไม่ใช่ปรมัตถ์ ขณะนั้นเป็นการนึกคิดเรื่อง ต้องรู้ก่อน ต้องให้ปัญญาเจริญขึ้นแล้วปัญญาทำกิจละ

    เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญายังไม่เกิด ยังไม่เจริญ ก็ยังละอะไรไม่ได้ แต่ค่อยๆอบรมความรู้คือปัญญาให้เพิ่มขึ้น และปรมัตถธรรมให้ทราบว่า ไม่จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องราวเยอะๆ อย่างจิตตั้ง ๘๙ หรือรูป ๒๘ หรือเจตสิกตั้ง ๕๒ เอาที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น โดยนัยของพระสูตรย่อลงมาทีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างวันก่อนมีคนถามเรื่องชวนะว่า ชวนะคืออะไร ก็รู้ว่า จักขุวิญญาณเห็น แล้วต้องมีจิตเกิดสืบต่อทำกิจต่างๆ จนกระทั่วถึงชวนะ และชวนะคืออะไร ถ้าโดยนัยของพระสูตร ก็ไม่ยาก เพราะเหตุว่าทรงแสดงโดยย่อเพื่อให้เข้าใจได้ ชวนะก็คือกุศลหรืออกุศลที่เกิดหลังจากเห็น  หลังจากได้ยิน

    เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปนึกถึงปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิตเลย โดยนัยของพระสูตรคือ เมื่อเห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบ หรือเป็นกุศล เมื่อได้ยินแล้วย่อลงมาเลยถึงชวนะ โลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ หรือกุศล

    เพราะฉะนั้น กุศลจิตหรืออกุศลจิตนั่นเองที่เกิดต่อจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นี่คือสภาพธรรมที่ปรากฏ เราไม่ต้องไปจำชื่อ จำเรื่องราวของจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ แต่สามารถรู้ว่า ปรมัตถธรรมคือขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะที่นอนหลับก็เป็นปรมัตถธรรม แต่เมื่อไม่ปรากฏให้รู้ ก็รู้ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จะรู้ความจริงของสภาพธรรมต่อเมื่อตื่นขึ้น คือมีสภาพปรากฏทางตา นั่นคือปรมัตถธรรม เสียงที่กำลังปรากฏทางหูและกำลังได้ยินก็เป็นปรมัตถธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า มีแต่ปรมัตถธรรม แต่ไม่รู้ความเป็นปรมัตถธรรม แสดงให้เห็นว่า อวิชชาปิดบังมาก สะสมมามาก บอกเท่าไรก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าที่เราคิดว่า เราได้ฟังมามาก พอจะรู้ได้ เทียบกับ ๔ อสงไขยแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาแล้วด้วยความไม่รู้ ก็ต้องน้อยกว่ามาก

    เพราะฉะนั้น ก็ให้เราฟังด้วยความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง จริงๆ ขณะนี้ แต่อวิชชายังไม่รู้ เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ก็อบรมเจริญปัญญา ไม่ต้องไปคิดปฏิบัติอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน แต่อบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจ ฟังให้เข้าใจจริงๆว่า กำลังเห็นเป็นสภาพรู้แน่นอน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ลักษณะอาการที่กำลังเห็นมีจริงๆ และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

    นี่คือการค่อยๆรู้ความจริงของเห็น และจะระลึกทางหู ค่อยๆรู้ความจริงของเสียงกับได้ยิน  ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยรู้ว่า ไม่มีตัวเราที่จะทำ และบังคับอะไรก็ไม่ได้ จะไปถามใครว่า เมื่อไรสติปัญญาจะเกิดมากๆ ก็ไม่ถูก เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าเราเองย่อมรู้ว่า ความเข้าใจธรรมเป็นเบื้องต้น การรู้ว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ที่เห็น ถ้ายังไม่เข้าใจก็คือความจริงที่ยังไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทำอย่างไรจะเข้าใจ และทำอย่างไรจะหมดกิเลสเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่มี ฟังแล้วว่าเป็นสภาพรู้ ค่อยๆรู้จริงๆว่า ลักษณะรู้ก็คือธรรมดาๆ อย่างนี้แหละ


    หมายเลข 4417
    30 ส.ค. 2558