ถึงไม่ใช้ก็ชื่อก็ละกายยึดถือด้วยตัวตนไม่ได้


    ผู้ฟัง ขอให้ยกตัวอย่างการเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัว เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีท่านผู้ฟังบางท่านบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยยึดถืออะไรว่าเป็นอัตตาตัวตนเลย เพราะไม่เคยได้ยินคำว่า “อัตตา” ไม่เคยได้ยินคำว่า “ตัวตน” เพราะฉะนั้น ทุกวันๆ ไม่เคยยึดถืออะไรว่าเป็นอัตตาตัวตน แต่ว่าความจริงถึงใครจะไม่พูดอย่างนี้ ใช้ศัพท์พยัญชนะว่า อัตตา ตัวตน แต่ว่าการยึดถือมีแล้วตั้งแต่เกิด ไม่ใช่พระอริยบุคคล ไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อเกิดมาแล้วไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาตามความเป็นจริง ย่อมมีความยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เสมอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อว่าเป็นอัตตาเป็นตัวตน แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ชัดของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นเมื่อยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั่นเป็นลักษณะของการเป็นอัตตา

    เมื่อเห็นแล้วมีความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นต้นว่า เห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นอัตตาแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พยัญชนะว่าอัตตาเลย แต่เมื่อมีความเห็นผิด ไม่รู้สภาพความจริงว่าสิ่งนั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ส่วนที่จะยึดถือว่าเป็นสัตว์ก็ดี เป็นบุคคลก็ดี เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็ดี นั้นเป็นเรื่องของการยึดถือ แต่ถ้าจะไม่ยึดถือก็หมายความว่าปัญญารู้ชัดว่าสิ่งนั้นแยกออกเป็นแต่ละส่วน แต่ละโลก สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเฉพาะทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล การที่จะรู้ความหมายว่าเป็นคนนั้นคนนี้นั้นอีกส่วนหนึ่ง แต่ว่าส่วนที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น ไม่ปนกัน

    ส่วนที่จะยึดถือว่าเป็นสัตว์ก็ดี เป็นบุคคลก็ดี เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็ดี นั่นเป็นเรื่องของการยึดถือ แต่ถ้าจะไม่ยึดถือก็หมายความว่าปัญญารู้ชัดว่าสิ่งนั้นแยกออกเป็นแต่ละส่วน แต่ละโลก สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเฉพาะทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล การที่จะรู้ความหมายว่าเป็นคนนั้นคนนี้นั้นอีกส่วนหนึ่ง แต่ว่าส่วนที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น ไม่ปนกัน นั่นจึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่รู้ชัด และไม่ถือการประชุมรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น

    เวลาที่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั่นเป็นสภาพของนามธรรมที่รู้ เกิดภายหลังการเห็น เกิดภายหลังการได้ยิน ต้องแยกโลกที่ติดกัน ๖ โลกนี้ออกเป็นแต่ละส่วน จึงจะประจักษ์ความเป็นอนัตตาของสิ่งทั้งปวงได้ เพราะเวลานี้ประชุมรวมกันติดกันก็ทำให้ปรากฏเป็นวัตถุเป็นสิ่งของ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่จำเป็นต้องรู้พยัญชนะว่าอัตตา ไม่ว่าเป็นเด็กเป็นเล็กเกิดมาไม่รู้ความจริงในขณะที่เห็น ที่ได้ยิน มีการยึดถือสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นก็เป็นลักษณะของอัตตาแล้ว นี่ก็เป็นความเห็นผิดที่ปัญญาจะต้องรู้ชัดจึงจะละได้ ถ้าปัญญารู้ไม่ชัด ไม่สามารถที่จะแยกออกได้ การละกิเลสก็จะมีไม่ได้เลย

    เรื่องของกิเลสมีมาก เรื่องของการยึดถืออัตตานี่ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ


    หมายเลข 4398
    24 ก.ย. 2566