วัตถุที่เป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕
ประการที่ ๑ คือจิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยซึ่งกันและกัน
ประการที่ ๒ คือมหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยซึ่งกันและกัน
ประการที่ ๓ ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยแก่ปฏิสนธิหทยวัตถุ
ถ้าได้ยินคำว่า “วัตถุ” หมายความว่า รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต
ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ รูปจะเกิดโดยที่ไม่มีจิตเป็นที่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะใดที่จิตเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จะต้องทราบว่า จิตประเภทนั้นเกิดที่รูปอะไร เพราะเหตุว่ารูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตมี ๖ รูป ได้แก่ วัตถุ ๖ คือ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณที่กำลังเห็นในขณะนี้ จิตเห็นเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดที่จักขุปสาท จักขุปสาทเป็นจักขุวัตถุของจักขุวิญญาณ
ขณะที่ได้ยิน โสตปสาทเป็นโสตวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ จิตที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้เกิดที่โสตปสาท และดับที่โสตปสาท เพราะฉะนั้นโสตปสาทเป็นโสตวัตถุของโสตวิญญาณ ๒ ดวง
ขณะที่ได้กลิ่น ฆานวิญญาณจิตเกิดที่ฆานปสาท เพราะฉะนั้นฆานปสาทใดซึ่งเป็นที่เกิดของฆานวิญญานในขณะนั้น ฆานปสาทรูปนั้นเป็นฆานวัตถุของฆานวิญญาณในขณะที่ได้กลิ่น แล้วก็ดับ ไม่เที่ยงเลย ชั่วขณะเล็กน้อยนิดเดียว ซึ่งจิตเกิดขึ้นกระทำกิจต่าง ๆ และเกิดที่ต่าง ๆ
ในขณะที่ลิ้มรส ที่รสปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้นลิ้มรสที่ชิวหาปสาท ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้น ลิ้มรสที่ชิวหาปสาทรูป ซึ่งเป็นชิวหาวัตถุ เพราะเหตุว่าเป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ แล้วก็ดับ
ขณะใดที่กำลังกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ขณะนั้นกายวิญญาณเกิดที่กายปสาทรูป เพราะฉะนั้นกายปสาทรูปเป็นกายวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณในขณะนั้น แล้วก็ดับ
แต่ในวันหนึ่ง ๆ ไม่ได้มีแต่จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตอื่นทั้งหมดนอกจากนั้นเกิดที่หทยรูป ซึ่งเป็นหทยวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นอกจากจิต ๑๐ ดวง
เพราะฉะนั้นในปฏิสนธิกาล คือ ในขณะที่เกิด จิตจะเกิดโดยที่ไม่มีรูปเป็นที่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น กรรมเป็นปัจจัยทำให้หทยวัตถุเกิด เป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิตในขณะนั้น
การเกิดขึ้นในภูมิมนุษย์ซึ่งปฏิสนธิจิตก็ได้ดับไปนานแล้ว เพราะเหตุว่าเป็นจิตดวงแรก ขณะแรกซึ่งเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมหนึ่ง ถ้าเกิดในสุคติภูมิก็เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเกิดในทุคตภูมิก็เป็นผลของอกุศลกรรม
และในภูมิซึ่งมีขันธ์ ๕ กรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตและเจตสิกเกิดเท่านั้น ยังมีกัมมชรูป ซึ่งถ้าเป็นในภูมิของมนุษย์ซึ่งเกิดในครรภ์ ในทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นจะมีกัมมชกลาปรวม ๓ กลาป
“กลาป” หรือ “กลาปะ” ในภาษาบาลี หมายความถึงกลุ่มของรูป เพราะเหตุว่าที่รูปจะเกิดขึ้นเพียงลำพังรูปเดียวไม่มี อย่างน้อยที่สุดต้องมีรูปรวมกันเกิดพร้อมกัน ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูตรูป ๔ และรูปซึ่งอาศัยเกิดกับมหาภูตรูปอีก ๔ คือ สี กลิ่น รส โอชะ อีก ๔ รูป เพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นมหาภูตรูป แต่เป็นรูปซึ่งเกิดโดยอาศัยมหาภูตรูป
รูปซึ่งเกิดโดยอาศัยมหาภูตรูป ชื่อว่า “อุปาทายรูป”
เพราะฉะนั้นรูป ๘ รูป ไม่แยกจากกันเลย คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ และสี กลิ่น รส โอชะ อีก ๔ เป็น ๘ รูป
และสำหรับรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ก็จะต้องมี “ชีวิตรูป” รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้รูปนั้น มีลักษณะเป็นรูปที่ทรงชีวิต เป็นลักษณะของรูปที่มีชีวิต ต่างกับรูปอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมอีก ๑ รูป เป็น ๙ รูป
และสำหรับ ๓ กลาป จะประกอบด้วยรูปกลุ่มละ ๑๐ กลุ่มละ ๑๐ คือ นอกจากจะมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูตรูป มีสี กลิ่น รส โอชะ เป็นอุปาทยรูป มีชีวิตรูปอีก ๑ รูป เป็น ๙ รูป และมีกาย คือ รูปซึ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโตขึ้น ที่ปรากฏเมื่อเจริญเติบโตแล้ว แต่ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น รูปนั้นเล็กที่สุดทั้ง ๓ กลาป หรือทั้ง ๓ กลุ่มของรูป เป็นรูปที่เล็กมาก แต่ให้ทราบว่า แม้จะเล็กเพียงไรก็ตาม ในกลุ่มหนึ่ง ๆ หรือกลาปหนึ่ง ๆ จะมีรูปรวมกัน ๑๐ รูป
ส่วนกลุ่มหนึ่งเป็นกายทสกะ คือได้แก่ กลุ่มของกายกลุ่มหนึ่ง และอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ภาวทสกะ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๔ ชีวิตรูป ๑ และอิตถีภาวะรูป ๑ (ถ้าเป็นเพศหญิง) หรือปุริสภาวะอีก ๑ (ถ้าเป็นเพศชาย) ในกลุ่มนั้น ก็เป็น ๑๐ รูป เรียกว่า “ภาวทสกะ”
และอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ชื่อ “หทยทสกะ” ก็ต้องประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป คือ มหาภูตรูป ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อุปาทายรูป ๔ คือ สี กลิ่น รส โอชะ ชีวิตรูป ๑ เป็น ๙ และหทยวัตถุ ๑ คือ รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอีก ๑ รูป ในกลุ่มนั้นเป็นหทยทสกะ คือ กลุ่มของหทัย ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต
เพราะฉะนั้นกรรมทำให้กัมมชรูป ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตในอุปาทขณะ แต่ว่าถ้าจิต คือ ปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูป ๓ กลุ่มนี้เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นสำหรับปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยให้กัมมชรูป ๓ กลุ่มเกิดขึ้น ซึ่งก็ได้เป็นไปแล้วพร้อมกันทันทีในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น
โดยนัยเดียวกัน หทยวัตถุในขณะปฏิสนธิซึ่งเกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต จึงเป็นสหชาตปัจจัยของปฏิสนธิจิต แต่กัมมชกลาปอีก ๒ กลาปไม่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะเหตุว่า จิตไม่ได้เกิดที่กายทสกะ หรือภาวทสกะ แต่เกิดที่กลุ่มของรูปที่เป็นหทยทสกะ
มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมในเรื่องของสหชาตปัจจัยหมวดนี้ ?
คือ ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยให้แก่ปฏิสนธิหทยวัตถุในอุปาทขณะ และปฏิสนธิหทยวัตถุเป็นสหชาตปัจจัยให้แก่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในอุปาทขณะ
ถ้าท่านผู้ฟังสังเกตก็จะเห็นได้ว่า กล่าวถึงเฉพาะหทยวัตถุปฏิสนธิขณะ หมายความถึง ปฏิสนธิหทยวัตถุรูป รูปเดียวที่เป็นสหชาตปัจจัยของจิต คือ ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่ารูปอื่น ขณะอื่น นอกจากปฏิสนธิขณะ ที่รูปจะเป็นปัจจัยให้เกิดจิตก็ดี หรือจะเป็นทวารให้จิตรู้อารมณ์ก็ดี หรือว่าจะเป็นอารมณ์ให้จิตรู้ก็ดี รูปทั้งหมดที่จะเป็นปัจจัยได้ในขณะอื่น นอกจากปฏิสนธิกาลแล้วต้องเป็นรูปในขณะฐีติขณะของรูป
รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นในอุปาทขณะของจิต ถ้ารูปนั้นเกิดในขณะนั้น รูปนั้นไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้แก่จิตได้เลย เป็นทวารไม่ได้ เป็นวัตถุไม่ได้ เป็นอารมณ์ไม่ได้ นอกจากเฉพาะในปฏิสนธิกาล คือ ในขณะเกิดขึ้นขณะเดียวเท่านั้น ซึ่งปฏิสนธิหทยวัตถุ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตได้ในอุปาทขณะของรูป
นอกจากนั้นแล้วรูปจะไม่มีโอกาสเป็นปัจจัยในอุปาทขณะของรูปได้เลย รูปทุกรูปที่จะเป็นปัจจัยโดยเป็นทวารก็ดี โดยเป็นวัตถุ คือ เป็นที่เกิดก็ดี หรือโดยเป็นอารมณ์ก็ดี จะต้องเป็นปัจจัยในฐีติขณะเท่านั้น
ซึ่งจะเห็นได้ในวีถีจิตว่า ขณะที่รูปเกิดกระทบภวังค์ ขณะนั้นจิตไม่สามารถที่จะรู้หรือมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ได้ทันที ต้องเป็นฐีติขณะของรูปเสมอ เว้นขณะเดียว คือ ในปฏิสนธิขณะเท่านั้น ซึ่งรูปสามารถจะเป็นปัจจัยได้ในอุปาทขณะ