สัมมาสมาธิ - มิจฉาสมาธิ


    ผู้ฟัง   คำว่า “สมาธิ” มีหลายอย่าง ในลักขณาทิจตุกะหรือลักษณะของปัญญามี ๔ อย่างว่า ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาไม่เกิด ใช่ไหมครับ

    ส.   สมาธิที่เป็นกุศลหรืออกุศลผู้ฟัง   สมาธิมีหลายอย่างหรือครับ

    ส.   ค่ะ มีมิจฉาสมาธิและมีสัมมาสมาธิ

    ผู้ฟัง   สมาธิให้เกิดปัญญามีใช่ไหมครับ ขณิกสมาธิทำให้เกิดปัญญา

    ส.   เวลานี้สมาธิเกิดอยู่แล้วทุกขณะ เป็นบาทให้เกิดปัญญาหรือยังคะ

    ผู้ฟัง   ตามลักขณาทิจตุกะของปัญญา เอาสมาธิเป็นที่ตั้ง

    ส.   ก็เวลานี้มีสมาธิแล้วทุกขณะ เป็นบาทให้เกิดปัญญาหรือยัง

    ผู้ฟัง   ถ้าสมาธิเป็นขณิกะ ผมว่าเป็นบาท

    ส.   สมาธิต้องเป็นขณิกะ เพราะเกิดกับจิตทุกดวง เป็นบาทให้เกิดปัญญาหรือยัง

    ผู้ฟัง ที่ว่าเป็นอัปปนาแนบแน่น เป็นฌาน ผมว่าไม่ทำให้เกิดปัญญา

    ส.   ปัญญามีหลายขั้น ปัญญาที่เกิดกับจิตที่สงบเป็นสมถภาวนา ต่างกับปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล นั่นเป็นวิปัสสนาภาวนา นั่นวิปัสสนาปัญญา

    เพราะฉะนั้น อย่าปนปัญญาของสมถะกับปัญญาของวิปัสสนา อย่างเช่นการระลึกถึงปฐวีเพื่อให้จิตสงบ ขณะนั้นเป็นโดยนัยของสมถะ แต่ขณะที่กระทบสัมผัสทางกายแล้วระลึกในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน นั่นเป็นวิปัสสนา นั่นเป็นสมาธิทั้งสอง เพราะเหตุว่าสมาธิเกิดกับจิตทุกดวง แต่ปัญญาที่เกิดพร้อมสมาธินั้นต่างกัน โดยนัยของสมถภาวนาเพียงสามารถสงบพร้อมปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริง ในความที่ไม่มีสาระแก่นสารของปฐวี ของสภาพของรูปทั้งหลาย

    ผู้ฟัง   แต่ที่ผมเรียนถามเรื่องปัญญา

    ส.   ค่ะ ปัญญารู้อะไร และปัญญามีหลายขั้น

    ผู้ฟัง   ถามว่า สมาธิทำให้เกิดปัญญา

    ส.   สมาธิทำให้เกิดปัญญาอะไร ปัญญามีหลายอย่าง สมาธิมีหลายอย่าง สมาธิอะไรทำให้เกิดปัญญาอะไร ปัญญาอะไรทำให้เกิดสมาธิอะไร

    ผู้ฟัง   ผมว่าขณิกสมาธิทำให้เกิดปัญญา

    ส.   ขณิกสมาธิเป็นคำธรรมดา หมายความถึงสมาธิชั่วขณะๆ ซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลาในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมต้องตรงตามความเป็นจริง ขณะนี้มีสมาธิเกิดกับจิตเพราะเป็นเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงในขณะนี้จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นอกุศล เอกัคคตาเจตสิกนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นกุศลในทานเป็นขณิกสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นกุศลในศีลเป็นสัมมาสมาธิ เป็นขณิกสมาธิ ถ้าเป็นกุศลในขณะที่ฟังธรรม เข้าใจ เวลานี้กำลังเข้าใจธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่ตัวตน  เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่ได้ศึกษาในปรมัตถธรรม  ในปรมัตถธรรมปริจเฉทที่ ๑ เป็นเรื่องของจิตประเภทต่างๆ ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย ในขณะที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจ ขณะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตมีโยนิโสมนสิการ โดยอาศัยการที่เคยฟัง เคยจำได้ แล้วก็พิจารณาโดยแยบคายดับไป กุศลจิตกำลังรู้เรื่อง กำลังเข้าใจในธรรม แม้แต่ในบัญญัติ คือ คำที่หมายถึงลักษณะของปรมัตถธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ก็เป็นกุศลจิต เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ขณะนั้นก็เป็นสัมมาสมาธิที่เป็นขณิกสมาธิ

    เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ว่า ปัญญาอะไร สมาธิอะไร อย่าปนกัน ปนกันไม่ได้ ถ้าปนกันก็ยุ่งเหยิงหมด แล้วก็ไม่สามารถจะเจริญกุศลขั้นต่อๆไปด้วย

    ผู้ฟัง   กัมมัสสกตาปัญญา

    ส.   เวลานี้ถ้ากำลังเข้าใจเรื่องกรรม เรื่องผล คือ กรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยัให้เกิดวิบาก  เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่น่าพอใจเป็นผล  นี่คือปัญญาที่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ตัวตน เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ขณะนั้นมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดด้วยเป็นสัมมาสมาธิ เป็นขณิกสมาธิ

    ผู้ฟัง   ย่อๆ ๓ อย่าง แล้วก็วิปัสสนาปัญญา รู้รูปนามเป็นไตรลักษณ์ เป็นวิปัสสนาปัญญาใช่ไหมครับ

    ส.   รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง   ส่วนโลกุตตรปัญญานั้นหมายความถึงอริยสัจ

    ส.   รู้แจ้งนิพพาน

    ผู้ฟัง   เป็นโลกุตตรปัญญา

    ส.   ปัญญามีมาก สมาธิก็ต้องมีมากตามลำดับ เพราะฉะนั้น อย่าพิจารณาเพียงชื่อ พิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ให้สอดคล้องกับพระธรรมที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ถ้าศึกษาเรื่องมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ต้องรู้ด้วยว่า ขณะไหน ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ แต่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นจิตอะไรที่ได้ศึกษาแล้ว มหากุศลญาณสัมปยุตต์มีบัญญัติเป็นอารมณ์  และถ้าสติเกิด วิตกเจตสิกจรดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นสติปัฏฐาน เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่ไม่ได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์  แต่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์


    หมายเลข 3895
    20 ส.ค. 2558