กัณฏกีสูตร


    สำหรับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้นั้นจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยสาวกแล้ว ท่านก็ยังเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

    ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค กัณฏกีสูตรที่ ๑ มีข้อความที่แสดงว่า พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านอยู่ด้วยธรรมใดเป็นส่วนมาก

    ข้อความมีว่า

    สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะ อยู่ ณ กันฏกีวัน (ป่าไม้มีหนาม) ใกล้เมืองสาเกต ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น ท่านพระ สารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะออกจากที่พักผ่อน เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะ ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอนุรุทธะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ถามท่าน พระอนุรุทธะว่า

    ดูกร ท่านอนุรุทธะ ธรรมเหล่าไหน อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่

    ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า

    ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ดูกร ท่านพระสารีบุตร สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่.

    จบ สูตรที่ ๔

    ให้เจริญฌานหรือเปล่า

    พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านหยั่งรู้ถึงสภาพที่แท้จริงของธรรมที่กำลังปรากฏด้วยปัญญาอันยิ่งของท่านเอง เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นอย่างอื่นประเสริฐกว่าสติปัฏฐานได้ไหม เพราะการระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่ละเอียดขึ้นๆ ย่อมทำให้ปัญญาสามารถที่จะดับกิเลสได้ละเอียดขึ้นด้วย

    สำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่มีความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ยังมีปัจจัยให้กิเลสทั้งหลายเกิดได้ เช่น โลภะ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ โทสะ โมหะ และอกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ก็เกิดได้ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งวิจิตรมากในแต่ละวัน

    ความพอใจแต่ละขณะนี้ย่อมต่างๆ กันไป ในบางครั้งบางวันอาจจะไม่ชอบในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าในวันอื่นหรือว่าในกาลอื่น อาจจะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความพอใจในวัตถุสิ่งที่เคยเห็นก็ได้ ซึ่งแต่ก่อนนี้อาจจะไม่เคยชอบ ไม่เคยพอใจ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันจริงๆ ถ้าศึกษาลักษณะของสภาพธรรมโดยละเอียด เป็นผู้ที่ละเอียด ย่อมเห็นความวิจิตรของการสะสมของจิต ซึ่งทำให้เกิดสภาพธรรมแต่ละขณะตามความเป็นจริง และปัญญาจะต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนั้นๆ ตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น จึงจะดับกิเลสได้ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ไม่ต้องระลึกศึกษารู้ลักษณะของกาย เวทนา จิต ธรรม อีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะมีความสงบหรือไม่สงบ หรือว่าท่านสะสมความวิจิตรของจิตที่ความสงบขั้นหนึ่งขั้นใดจะเกิดขึ้น ปัญญาของท่านก็จะต้องคมกล้า จนกระทั่งสามารถที่จะดับความยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ และก็ดับกิเลสได้ยิ่งขึ้นตามลำดับ

    และสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านผู้ฟังคิดว่าท่านจะอยู่ด้วยธรรมอะไร สำหรับพระอริยสาวกที่เป็นพระเสกขบุคคล คือ ผู้ที่ยังจะต้องศึกษาอยู่ ซึ่งได้แก่ พระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล ยังมีกิจที่ยังต้องกระทำ คือ จะต้องศึกษาลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมละเอียดขึ้น จึงจะดับกิเลสได้ละเอียดขึ้น และเมื่อท่านดับกิเลสหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจะอยู่ด้วยธรรมอะไร

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 748


    หมายเลข 14405
    28 พ.ย. 2568