ความสรรเสริญ คำสรรเสริญ คำชม
ขุททกนิกาย มหานิทเทส มหาวิยูหสุตตนิทเทสที่ ๑๓ ข้อ ๖๐๖
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
คำว่า ก็ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ในคำว่า ก็ความสรรเสริญนั้น เป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นส่วนน้อย ต่ำช้า นิดหน่อย ลามก สกปรก ต่ำต้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้น เป็นของน้อย
นี่คือผู้ที่ทรงอนุเคราะห์ให้พุทธบริษัทเห็นโทษของกิเลส แม้เพียงคำสรรเสริญ หรือคำชมเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม โดยตรัสถึงความจริงที่ว่า ก็ความสรรเสริญนั้น เป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส
ขอให้คิดดูว่า ชั่วขณะที่เสียงสรรเสริญกระทบหู เพียงเล็กน้อย จะทำให้คนที่ ได้รับคำสรรเสริญนั้น สงบกิเลสหรือเปล่า
ใครจะชมใครก็ได้ พิสูจน์ดู คนที่ถูกชม สงบกิเลสหรือเปล่า คำสรรเสริญนั้นเป็นประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า เป็นของเล็กน้อยจริงๆ เพราะว่า ไม่พอเพื่อสงบกิเลส เพราะฉะนั้น ที่ว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นส่วนน้อย ต่ำช้า นิดหน่อย ลามก สกปรก ต่ำต้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย
ถ. พระอริยเจ้าจะมีความปีติเล็กน้อย คือ ความพอใจเล็กน้อยใน คำสรรเสริญบ้างไหม หรือไม่มี
สุ. แล้วแต่ว่าจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นไหน ถ้าเป็นขั้นพระอริยบุคคลที่ท่านดับความพอใจยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ท่านก็ไม่มีความยินดีใน คำสรรเสริญ แต่ผู้ที่ยังติดในรูป ย่อมพอใจเมื่อมีผู้สรรเสริญในรูป ผู้ที่ติดในเสียง ผู้ที่ติดในกลิ่น ผู้ที่ติดในรส ผู้ที่ติดในโผฏฐัพพะ ผู้ที่ติดในลาภ ผู้ที่ติดในยศ ย่อมจะพอใจ ถ้าเป็นผู้ที่ดับความยินดีพอใจแล้ว ท่านไม่หวั่นไหว แต่สำหรับผู้ที่ยังหวั่นไหวอยู่ เป็นผู้ที่เริ่มพิจารณาตนเองเพื่อที่จะละกิเลส เพราะเห็นว่าคำสรรเสริญ หรือคำชมนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร ยิ่งถ้าทำให้กิเลสเกิด ก็ยิ่งเป็นของที่ต่ำต้อย ลามก
ถ. พระโสดาบันยังมีโลภะ โทสะ โมหะบ้างเล็กน้อย สภาวะที่อาจารย์แสดงธรรมมานั้น อริยะเบื้องต้นนี้ละได้ไหม
สุ. สำหรับพระโสดาบันนั้น ท่านละมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด รวมทั้งสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นเหตุของมิจฉาทิฏฐิด้วย ไม่มีความเห็นผิดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ประจักษ์แจ้งในลักษณะของนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลสได้
เพราะฉะนั้น สำหรับพระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิด แต่เมื่อยังมีความพอใจ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ความยินดีความพอใจก็ต้องเกิด ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงให้ระลึกได้ว่า ก็ความสรรเสริญนั้น เป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส เตือนคนที่ได้รับคำชมหรือคำสรรเสริญให้รู้สึกตัว ในขณะนั้นว่า ขณะที่ได้รับคำชมหรือคำสรรเสริญนี้ จิตอะไรเกิดต่อ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ
ถ. พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ลาภ สักการะ ชื่อเสียง เผ็ดร้อนและทารุณ ชื่อเสียงกับคำสรรเสริญเป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า
สุ. ชื่อเสียง หมายความถึงเป็นที่รู้จัก ใช่ไหม
ถ. โดนเขาชมเรื่อย พูดเรื่อย ก็ทำให้เกิดชื่อเสียง
สุ. คนที่มีชื่อเสียง ก็ต้องเลือกว่าในทางไหน เพราะคนที่มีชื่อเสียง หมายความถึงคนที่มีคนรู้จัก ชื่อนั้นมีเสียงด้วย เป็นที่รู้จัก
ถ. แต่ก็นิดหน่อยจริงๆ เราก็ไปหลง ไปติด
สุ. เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถึงคำสรรเสริญมากๆ การที่จะเป็นผู้ละเอียด แม้แต่คำชมนิดๆ หน่อยๆ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จิตใจหวั่นไหวไปแค่ไหน
ถ. หวั่นไหวมากๆ
สุ. เพราะฉะนั้น กิเลสก็มีมากมายจริงๆ นี่ก็จะทำให้ทุกท่านที่ต้องการ คำชม ถึงจะไม่ใช่คำสรรเสริญ เพียงคำชมเล็กน้อยในเรื่องใดๆ ก็ตาม จะระลึกได้ทันทีว่า จิตในขณะนั้นเป็นอะไร
ข้อความต่อไปมีว่า
คำว่า ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ไม่พอเพื่อยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ มารยา ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความมัวเมากิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุศลาภิสังขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไปสงบ ดับ สละคืน ระงับไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส
พระผู้มีพระภาคยังทรงแสดงความละเอียดต่อไปอีก เพราะบางท่านอาจจะไม่ได้พิจารณาตลอดไปจนกระทั่งถึงว่า คำที่คนอื่นชมหรือสรรเสริญนี้ที่ว่าไม่พอที่จะสงบกิเลสนั้น กิเลสอะไรบ้าง ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่พอเพื่อยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่
ทั้งหมดนี้ ทุกคนมี
ถ้าใครชมแล้วกิเลสพวกนี้หมดไปก็คงจะดี ใช่ไหม แต่เมื่อชมแล้ว คิดดูว่า มีกิเลสเหล่านี้เพิ่มเติมต่อไปหรือเปล่า มารยา ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความมัวเมากิเลสทั้งปวง ทุจริต ทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุศลาภิสังขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไปสงบ ดับ สละคืน ระงับไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอเพื่อความสงบ
ถ้าอยากจะได้อะไรในชีวิต ก็ขอให้พิจารณาถึงความจริงว่า เมื่อได้มาแล้ว ทำให้อกุศลจิตเกิดเพิ่มพูนขึ้น หรือทำให้อกุศลนั้นลดลง แม้แต่คำสรรเสริญ ถึงใครจะสรรเสริญสักเท่าไร ผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงก็จะรู้ได้ว่า กิเลสของตนเองนั้นไม่ได้หมดไปเพราะคำสรรเสริญนั้นๆ ได้
ต่อไปนี้เวลาใครชม จะคิดอย่างนี้ไหม
คำชมนั้นไม่ได้ทำให้อกุศลของเราลดน้อยลง เลย และสังเกตพิจารณาจิต ในขณะที่ได้รับคำชมด้วย เพราะไม่ว่าใครจะชมหรือไม่ชม จะสรรเสริญผิด หรือ จะสรรเสริญถูกก็ตาม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบุคคลนั้นไปได้เลย
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1530
ขุททกนิกาย เถรคาถา สิริมาเถรคาถา ข้อ ๒๗๗ มีข้อความว่า
ถ้าตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ ชนเหล่านั้นก็สรรเสริญเปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่นจะติเตียน ชนเหล่าอื่น ก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า ไม่ว่าใครจะสรรเสริญสักเท่าไร หรือใครจะติเตียนสักเท่าไร ตัวท่านเองมีปัญญามากน้อยเพียงใด ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามคำสรรเสริญหรือคำชมของบุคคลอื่น แต่ที่จะเป็นอย่างนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในการเจริญสติปัฏฐาน จึงจะสามารถระลึกรู้ลักษณะของจิต ในขณะนั้นได้ว่า เป็นกุศลหรืออกุศลเพียงไร
