คิดอย่างนี้ ไม่มีวันจะเข้าใจสภาพธรรม


    . ธรรมดาเสียงถือว่ามีอยู่จริงๆ สัททรูปมีอยู่จริงๆ

    สุ. เกิดขึ้นเมื่อไร ก็มีเมื่อนั้น กำลังได้ยินหรือเปล่า

    . ได้ยิน

    สุ. เสียงมีไหม

    . มีจริงๆ และที่ว่าเป็นนิปผันนรูป เป็นรูปปรมัตถ์ใช่ไหม

    สุ. แน่นอน

    . เป็นรูปปรมัตถ์แท้ หรือปรมัตถ์เทียม

    สุ. ปรมัตถ์เทียมเป็นอย่างไร

    . ในปริจเฉทที่ ๖ ท่านเขียนไว้

    สุ. หนังสือที่ไหนบอกว่า มีรูปปรมัตถ์เทียม

    . มี ในปริจเฉท ๖

    สุ. ดิฉันไม่เคยพบ

    . อธิบายว่า รูปปรมัตถ์เทียม คือ รูปที่พิจารณาเป็นไตรลักษณ์ไม่ได้ ไม่มีสภาวะลักษณะเป็นของตัวเอง

    สุ. เป็นอนิปผันนรูป

    . ต้องอาศัยนิปผันนรูปเกิด ถือว่าเป็นปรมัตถ์แท้ก็แล้วกัน

    สุ. ไม่มีศัพท์นี้ ปรมัตถ์แท้ ปรมัตถ์เทียม

    . ถือว่ามีจริงๆ เป็นรูปปรมัตถ์ ผมสงสัยว่า รูปปรมัตถ์ เวลาเสียงระฆังเกิด เสียงระฆังเกิดอาจารย์ว่า มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ใช่ไหม

    สุ. แน่นอน

    . เมื่อเสียงระฆังเกิด อุตุเป็นสมุฏฐาน กลุ่มของเสียงนี่เรียกว่า สัททนวกกลาป ใช่ไหม

    สุ. ถูกต้อง

    . เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เสียงกลุ่มนี้เป็นกลุ่มอิสระจากระฆัง ใช่ไหม

    สุ. ไม่มีระฆัง มีแต่ ...

    . ไม่เรียกระฆังก็ได้ กลุ่มของรูปในส่วนของระฆัง

    สุ. มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ให้รูปนั้นเกิดดับสืบๆ ต่อๆ กันไป

    . เมื่อเกิดแล้ว ก็วิ่งเข้ามาในหูเรา ใช่ไหม

    สุ. ไม่ได้วิ่ง พยายามเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    . ถ้าเกิดขึ้นเป็นกลุ่มกลาปแล้ว คงจะต้องมาถึงหูเรา

    สุ. ๑๗ ขณะ ดับเร็วมาก และมีอุตุที่ทำให้เกิด …

    . เราก็พูดว่า ดับเร็วมาก …

    สุ. ท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า อุตุทำให้เกิดเสียงได้อย่างไร แต่กลุ่มของ รูปใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ไม่ได้เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน ไม่ได้เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน กลุ่มของรูปนั้นๆ ทั้งหมดต้องเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน

    แสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า เมื่อไม่ได้เกิดจากกรรม เมื่อไม่ได้เกิดจากจิต เมื่อไม่ได้เกิดจากอาหาร ต้องเกิดเพราะอุตุ ความเย็นความร้อนที่พอเหมาะพอควร และต้นไม้นั่นเอง ขณะใดที่มีการกระทบสัมผัสกัน ก็มีเสียงเกิดขึ้น ขณะใดที่เสียงเกิดขึ้น ต้องมีรูปซึ่งเป็นที่ตั้งของเสียง ซึ่งจะปราศจาก ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ไม่สามารถมีเสียงเปล่าๆ ลอยๆ แต่ต้องมีกลุ่มของรูปซึ่งเกิดเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน ควรเข้าใจว่า อุตุสามารถทำให้เกิดรูปอื่นๆ ได้ ไม่ใช่ว่ารูปทั้งหลายจะต้องเกิดจากกรรม หรือต้องเกิดจากจิต หรือต้องเกิดจากอาหาร แต่อุตุย่อมสามารถทำให้เกิดกลุ่มของรูปที่มีเสียงเกิดร่วมด้วย

    . หมายความว่า เกิดจากอุตุ ผมยอมรับ เกิดกลุ่มเสียงนี้ขึ้น กลุ่มเสียงนี้ ผมอยากทราบว่า เวลามาถึงหูของเรา เราจะอธิบายได้อย่างไรว่า กลุ่มนี้เข้าถึงหูเรามาทั้งกลุ่ม หรืออย่างไร

    สุ. ถ้าคิดนี้อย่างนี้ ไม่มีวันจะเข้าใจสภาพธรรมได้ การที่จะเข้าใจ สภาพธรรมได้ คือ ขณะที่เสียงปรากฏ เสียงไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป และเสียงต้องมีที่ตั้งของเสียง ซึ่งไม่ใช่จะมานั่งพิจารณาขณะที่เจริญสติปัฏฐาน แต่การศึกษา ปริยัติธรรมเพื่อให้เห็นสภาพธรรมที่มีตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ให้เข้าใจ ในสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเมื่อเป็นสังขารธรรม มีการเกิดขึ้น ก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นด้วย เพื่อที่จะละคลายว่า มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดสร้างเสียง หรือเป็นเจ้าของเสียง หรือสามารถทำให้เสียงเกิดขึ้น แต่ถ้าสภาพของนามธรรมและรูปธรรมไม่มี เสียงก็เกิดขึ้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปนั่งนึกอย่างนั้น แต่จะต้องพิจารณาลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อให้เห็นความไม่ใช่ตัวตน

    . เมื่อเสียงเกิดขึ้นก็ตั้งอยู่ และดับไป

    สุ. แน่นอน

    . เราสั่นกระดิ่ง เสียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีเวลาพอหรือที่จะเข้าหูเรา

    สุ. ไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีเวลาพอหรือไม่มีเวลาพอ เพราะขณะใดที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นสติสามารถรู้ว่าเสียงเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริง ไม่เที่ยง และไม่ใช่ตัวตน

    . ผมเพียงอยากจะไขว่า เมื่อเกิดขื้น เมื่อมีระยะทางไกล ถ้าไม่มีอากาศ …

    สุ. เสียง แม้เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน จะดับเร็วสักแค่ไหน เพราะว่าขณะที่เห็นและขณะที่ได้ยิน เสียงดับแล้ว จะดับเร็วสักแค่ไหนก็ลองประมาณดู

    . ขอบคุณ

    สุ. การศึกษาธรรม จะต้องพิจารณาให้ตรงกับเหตุผล มิฉะนั้น คิดไปคิดมา ก็อาจจะเพิ่มความสงสัยขึ้น แทนที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน โดยรู้ว่าเสียงไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน นี่เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาเพื่อที่จะรู้ว่า แม้ว่าสภาพธรรมจะปรากฏรวดเร็วสักเพียงใดก็ตามทั้งนามธรรมและรูปธรรม แต่เมื่อสภาพธรรมใดปรากฏ สติสามารถที่จะศึกษา พิจารณา สังเกต สำเหนียก จนกว่าจะรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ว่า สภาพใดเป็นนามธรรม สภาพใด เป็นรูปธรรม

    นี่คือประโยชน์ของการที่จะเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลาย เพราะถ้าความรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมยังไม่ชัดเจน ก็ยังเป็นตัวเรา ที่สงสัยเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่จะหมดความสงสัยในทุกเรื่องได้ ก็โดยการรู้ว่า ลักษณะใดเป็นนามธรรม ลักษณะใดเป็นรูปธรรม ในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ ส่วนการศึกษาเรื่องปริยัติ ก็เพื่อประกอบความเข้าใจ เพื่อให้ขณะใดที่สติเกิด ขณะนั้นปัญญาสามารถละความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1455


    หมายเลข 14284
    28 พ.ย. 2568