รู้ชัดจริงๆ เป็นวิปัสสนาญาณ


    ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า ในพระไตรปิฎกมีข้อความที่ว่ามีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เพราะฉะนั้น ต้องมีความเพียรใช่ไหม คือ ท่านผู้นั้นมีความคิดว่า การเจริญสติปัฏฐานจะต้องไปกระทำความเพียร เพราะมีข้อความว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

    แต่ขอให้ท่านผู้ฟังคิดถึงในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน และทรงแสดงธรรม ซึ่งก็มีผู้ที่ฟังธรรมบรรลุความเป็นพระอริยบุคคลเมื่อทรงแสดงธรรมเทศนาจบ ในขณะนั้น บุคคลนั้นมีความเพียรหรือไม่ มีสัมปชัญญะหรือไม่ มีสติหรือไม่ หรือว่าขณะที่กำลังฟังอยู่นั้นไม่มีความเพียร ต้องไปทำความเพียรอื่นอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่

    ในขณะที่กำลังฟังธรรม บางท่านบรรลุความเป็นพระอริยบุคคล บางท่านไม่บรรลุความเป็นพระอริยบุคคล เพราะอะไร เพราะว่าผู้ที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้น มีความเพียรที่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ปัญญาจึงรู้ชัด จึงได้ละคลายการยึดถือ และบรรลุความเป็นพระอริยบุคคล นั่นเพราะมีความเพียร มีสติ มีปัญญาที่เกิดในขณะนั้น รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้น ความสำคัญอยู่ที่ปัญญาที่รู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา เวลานี้สติของท่านผู้ใดจะระลึกรู้นามหรือรูปทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ขณะที่สติระลึกมีความเพียรร่วมด้วย จึงได้ระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่ว่ามีปัญญาพอที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ละคลาย สติก็จะต้องเพียรระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเนืองๆ บ่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้น ความมุ่งหมายของการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อปัญญารู้ความจริงว่า สภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แม้สติ แม้ความเพียร แม้ปัญญา และจะต้องเข้าใจด้วยว่า ทำไมขณะที่ฟัง บุคคลหนึ่งบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า แต่คนอื่นไม่บรรลุ เพราะเหตุว่าไม่ละ แม้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    โดยมากผู้ที่เจริญสติปัฏฐานยากเหลือเกินที่จะตัดใจ หรือว่าตัดเยื่อใยจากการหวังผล คอยแต่ที่จะคิดว่า ขณะนี้รู้ชัดหรือยัง ถึงแม้จะไม่ใช้คำว่า นามรูปปริจเฉทญาณ หรือว่าญาณอื่นก็ตาม ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีหลายครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำว่ารู้ชัด เพื่อที่จะไม่ให้ท่านผู้ฟังห่วง หวัง และรอในขณะที่เจริญสติปัฏฐาน

    จริงหรือไม่จริง มีหลายท่านทีเดียวที่เจริญสติปัฏฐานและท่านได้ยินคำว่า นามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคหญาณ สัมมสนญาณ อุทยัพพยญาณ ท่านก็เปรียบเทียบ เดากับความรู้ที่กำลังเกิด หรือว่ากำลังมี ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูปที่กำลังปรากฏ ความห่วง ความหวัง ยังไม่หมดไปจากใจ คอยที่จะเปรียบเทียบว่าใช่หรือยัง

    แต่ทำไมต้องห่วงชื่อ กับคำว่ารู้ชัด หรือว่ารู้ทั่ว หรือว่ารู้แจ้ง

    ถ้าเป็นความรู้ที่กำลังรู้ เพราะสติระลึกลักษณะที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย ผู้ที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าจะตัดเยื่อใยให้ขาดได้ไหมว่า ขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งการที่จะตัดเยื่อใยให้ขาดได้ ก็เพราะปัญญารู้จริง รู้ทั่ว รู้ชัด แต่เพราะท่านยังเคลือบแคลงว่า ขณะนั้นรู้ชัดหรือยัง ซึ่งความจริงแล้ว ความรู้จะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้นที่จะเป็นความรู้ชัด คือ วิปัสสนาญาณ เป็นความต่างออกไปจากความรู้ที่กำลังอบรมอยู่ ต้องมีลักษณะที่ต่างกันที่ปรากฏชัดเจนทีเดียวถึงความต่างกัน ถ้าลักษณะนั้นไม่ปรากฏชัดเจนให้เห็นเป็นความต่างกัน ความสงสัยที่จะเทียบเคียงก็มีอยู่ร่ำไป

    เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ชัดได้จริงๆ ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ต้องมีความต่างจากความรู้ที่กำลังอบรมอยู่ เป็นความต่างจริงๆ แต่ที่ไม่ทรงแสดงไว้ก็เพื่อไม่ให้ท่านผู้ฟังมีเยื่อใยด้วยความหวัง ด้วยความห่วง เพราะว่าปกติก็หวัง ก็ห่วง ก็รอญาณอยู่แล้ว ที่ถูกแล้วไม่ควรจะหวัง ไม่ควรจะรอ ไม่ควรจะคอย ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณจริงๆ จะหมดความสงสัย จะหมดความเคลือบแคลง คนทั้งคนที่กำลังเห็นอย่างนี้หรือจะดับไป หรือว่าเสาใหญ่ๆ ทั้งต้นที่กำลังเห็นอยู่นี่หรือจะดับไป ไม่ใช่คน ไม่ใช่เสาที่ดับทางตา สีสันวัณณะต่างๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เสา แต่ว่าทางตากำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ระลึกรู้ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนี้เป็นของจริง ต้องแยกได้ชัดเจน ก่อนที่จะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม

    ถ้ายังเห็นรวมเป็นคนทั้งคน นี่หรือจะดับ หรือว่าเสาทั้งเสา นี่หรือจะดับ ก็หมายความว่ายังไม่ได้รู้ชัดในความต่างกันของสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นแต่เพียงลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น แยกออกไปจากคน จากสัตว์ เวลากระทบสัมผัสก็เป็นสิ่งที่มีลักษณะอ่อนหรือแข็งปรากฏ และส่วนที่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ต้องแยกออกจากกันจริงๆ กระจัดกระจายจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่ายังมีความเป็นคนทั้งคน ทั้งเสา และสงสัยว่าจะดับได้อย่างไร ไม่ใช่คนดับ ไม่ใช่เสาดับ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อปรากฏแล้วก็หมดไปทางตา

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 238


    หมายเลข 14256
    28 พ.ย. 2568