เห็นโทษของโลภะ จึงเจริญสมถภาวนา
ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมากระทำกิจบริหารร่างกาย ประกอบกิจการงานต่างๆ บริโภคอาหาร ติดต่อธุระการงาน ทั้งหมดเป็นโลภะ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ไม่ใช่กุศลจิต แต่ไม่รู้เลย
ผู้ที่จะอบรมเจริญสมถภาวนา ที่จะอบรมเจริญความสงบ ต้องเห็นโลภะ เพราะว่าโลภะมีมากกว่าโทสะในวันหนึ่งๆ และเป็นผู้ที่รู้ว่า ถ้ายังมีโลภะขณะใด ขณะนั้นไม่ใช่กุศล เป็นอกุศล ไม่สงบ
ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีสติสัมปชัญญะ คือ ปัญญาที่รู้ความต่างกันของกุศล และอกุศล และเป็นผู้ที่เห็นโทษของโลภะ จึงเจริญสมถภาวนา แต่ผู้ที่เห็นโทษของอวิชชารู้ว่า ที่มีโลภะเพราะอวิชชา เพราะว่าไม่รู้ความจริงขณะที่กำลังเห็น ไม่รู้ความจริงขณะที่ได้ยิน ไม่รู้ความจริงขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้ความจริงเลยว่า เกิดมาเพื่อที่จะรับผลของกรรม โดยเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น และมีการสะสมกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ซึ่งในวันหนึ่งๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นอกุศลมากกว่ากุศล ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะ อบรมเจริญภาวนาได้
เพราะฉะนั้น แล้วแต่ระดับขั้นของปัญญาว่า เป็นผู้ที่เห็นโทษของโลภะและ เห็นโทษของอกุศล และมีปัญญาเพียงขั้นที่จะทำให้จิตสงบ หรือเป็นผู้ที่เข้าใจหนทาง ที่จะดับกิเลส โดยปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไป ในขณะนี้ ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏ และดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นวิปัสสนาภาวนา
