ไปสู่สำนักปฏิบัติ
ถ . ผมได้ฟังการบรรยาย ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านบอกว่า ผู้ที่ไม่สามารถไปสู่สำนักปฏิบัติได้ ก็เพราะว่ากิเลสดึงเอาไว้ ผมก็เรียนถามว่า ผู้ที่สามารถไปสู่ที่สำนักปฏิบัติได้กิเลสไปไหน ท่านก็บอกว่า ก็ไปด้วย ผมก็ถามว่า เมื่อไปด้วยเช่นนั้น แล้วจะต่างกันอย่างไร ท่านก็อธิบายว่า อยู่ที่บ้าน มีเครื่องรกรุงรังมาก มีลูก มีเมีย มีเครื่องใช้ไม้สอย สารพัดที่จะเป็นปัจจัยให้ไม่สามารถไปสู่สำนักปฏิบัติได้ ผมก็เรียนถามท่านว่า ไปสู่สำนักปฏิบัติแล้ว ผมไม่สามารถจะคิดได้ทีเดียวหรือว่า ลูกผม เมียผม บ้านช่องของผมนี้เป็นอย่างไร อะไรต่างๆ นี้ คนนั้นไปโรงเรียนหรือยัง ปิดหน้าต่างหรือยัง อะไรต่างๆ ธัมมารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายก่ายกองอย่างนี้ ผมคิดไม่ได้หรือ หรือว่าตัดออกหมด ท่านก็บอกว่าได้
ผมก็เรียนถามท่านต่อไปว่า ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สติ เป็นที่ปรารถนาในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ หมายความว่าอะไร ท่านก็อธิบายถึงสติเป็นขั้นต่างๆ ของท่านต่างๆ อย่างนั้น อย่างนี้เรื่อยไป แล้วท่านก็สรุปว่า แม้ผู้ที่อยู่ที่บ้าน เมื่อสามารถเจริญสติได้ ท่านก็ขออนุโมทนาด้วย เป็นอันจบกันแค่นี้
เป็นการแสดงว่า การไปสู่สำนักปฏิบัติไม่ใช่ของจำเป็นอะไรเลย อยู่ที่ไหนก็สามารถเจริญสติได้ ผมก็มาเรียนให้ท่านผู้ฟังทราบ นี่เป็นข้อความที่ผมได้รับฟังจากท่านผู้บรรยายสติปัฏฐาน ณ สำนักแห่งหนึ่ง
สุ . พระพุทธพจน์มีว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง และในกาลทุกเมื่อ
เพราะฉะนั้น ก็ควรเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง
ถ้ารับรองว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง จริง และก็ควรเจริญในกาลทุกเมื่อ จริง รับรองพระพุทธพจน์ แต่เวลาปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ตรงต่อธรรมไหม ก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม เพียงแต่เป็นผู้ที่รับรองธรรม แต่ไม่ปฏิบัติตามธรรม เพราะเหตุว่ายังไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้ว ชื่อสำนักปฏิบัติไม่จำเป็นเลย เพราะว่าที่ใดๆ ก็เป็นที่ๆ สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ แม้ในที่นี้
ทำไมจะต้องมีชื่อเฉพาะว่า สำนักปฏิบัติ ถ้าเป็นอย่างนั้น หมายความว่า นอกจากสำนักปฏิบัติที่มีชื่ออย่างนั้นแล้ว จะไม่มีการปฏิบัติธรรมเลย ก็ไม่ตรงกับ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง และควรเจริญในกาลทุกเมื่อ
