สภาวรูปที่เป็นสุขุมรูป ๖ รูป
สำหรับสภาวรูปที่เป็นสุขุมรูป ๖ รูป คือ อาโปธาตุ ๑ โอชารูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ หทยรูป ๑ อิตถีภาวรูป ๑ ปุริสภาวรูป ๑
มหาภูตรูป มี ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่เวลาที่กระทบ ปรากฏที่กายจะไม่พ้นไปจากอ่อนแข็งที่เป็นธาตุดิน เย็นร้อนที่เป็นธาตุไฟ ตึงไหวที่เป็นธาตุลม ส่วนลักษณะของอาโปธาตุนั้น ไม่ปรากฏทางกาย แต่เป็นสภาวรูป เป็นสุขุมรูป สุขุมรูปอื่นอีก ๕ รูป คือ โอชารูป ได้แก่ โอชาในธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอีกรูปหนึ่งซึ่งทำให้เกิดรูปได้ ในอาหารทั้งหลายที่กลืนกินเข้าไปจะมีโอชารวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้รูปอื่นเกิดสืบต่อไปได้ เพราะเหตุว่ามีโอชาเป็นปัจจัย
สำหรับโอชาที่อยู่ในอาหาร มีผู้ที่เจริญสติปัฏฐานคนใดจะรู้รูปนั้นไหม ลิ้นกำลังกระทบรส รสปรากฏ ถ้าสติไม่ระลึกรู้สภาวรูป คือ รส ท่านจะรู้โอชาที่อยู่ในอาหารนั้นซึ่งเป็นสุขุมรูปที่ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น หรือกาย แต่จะรู้ได้ด้วยใจ เพราะเหตุว่าเป็นสภาวรูปที่เป็นสุขุมรูป จะเป็นไปได้ไหม
ถ . อาโปธาตุนั้น จะสัมผัสได้ด้วยอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่าเป็นรูปน้ำ จะมีวิธีรู้ได้อย่างไร
สุ . สภาวรูป คือ รูปที่เป็นสภาวธรรม มีลักษณะจริงๆ ของรูปนั้น ส่วนรูปที่เป็นอสภาวะ เป็นแต่เพียงวิการ เป็นอาการของรูปที่เป็นสภาวธรรม และการที่สภาวรูปจำแนกออกเป็นโอฬาริกรูป รูปหยาบ ก็เพราะเหตุว่าปรากฏให้รู้ได้ ส่วนสภาวรูปที่เป็นรูปละเอียด จะรู้ได้ ก็ต้องรู้สภาวรูปที่เป็นรูปหยาบเสียก่อน
เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้โดยละเอียดที่เป็นความจริงทุกประการนั้น ก็แล้วแต่ปัญญาความสามารถของผู้ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมนั้น และเวลาที่ท่านประจักษ์สภาพธรรมแต่ละชนิดตามความเป็นจริง ก็ไม่ผิดไปจากที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก แต่ความรู้ของแต่ละบุคคลก็มีความละเอียดต่างกัน
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า อากาศธาตุรู้ได้จริงๆ หรือ แต่เวลาที่ท่านรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ต้องตรงตามพระธรรมวินัยไม่คลาดเคลื่อน ไม่มีที่สงสัยเลย แล้วแต่ว่าปัญญาความสามารถที่สะสมมาจะทำให้ท่านประจักษ์สภาพธรรมที่หยาบหรือที่ละเอียดมากน้อยต่างกัน
เวลาที่ลมกระทบ ปรากฏ รู้สึกว่าเป็นก้อนแท่งทึบเหมือนอย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางกายที่เป็นก้อนแท่งทึบหรือเปล่า เวลาที่ท่านจะประจักษ์สภาพธรรมที่เป็นลักษณะของรูป อย่างธาตุลมมีลักษณะตึงหรือไหว ที่จะปรากฏให้เห็นว่าเป็นลักษณะที่ไหวได้ ก็หลายกลาป และเป็นลักษณะที่เบา ซึ่งถ้าปัญญาประจักษ์ในลักษณะที่เป็นธาตุลมจริงๆ ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีความยึดถือว่าเป็นตัวตน ปัญญารู้ชัด รู้ละเอียด รู้ถึงลักษณะของสภาวธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านผู้ฟังจะเป็นห่วง
แต่เรื่องที่ท่านผู้ฟังควรจะทราบก่อน คือ อะไรเป็นสภาวรูป อะไรไม่ใช่สภาวรูป เพื่อที่จะได้เจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาวรูปตามความเป็นจริง ไม่ไปหลงยึดถือสิ่งที่ไม่ใช่รูปว่าเป็นรูป และเข้าใจว่าได้ประจักษ์ลักษณะความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น และดับไปแล้ว โดยที่แม้พระธรรมวินัยจะได้ทรงแสดงไว้อย่างละเอียด และสภาพธรรมก็ปรากฏให้พิสูจน์
สำหรับสภาวรูปที่เป็นสุขุมรูปมี ๖ รูป คือ ธาตุน้ำ อาโปธาตุ ๑ เป็นทูเรรูป เป็นรูปไกล เป็นอัปปฏิฆรูป เป็นรูปที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายไม่ได้
ความจริงธาตุน้ำก็มีอยู่ในกาย ที่ใดมีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ต้องมีธาตุน้ำเกาะกุมธาตุทั้งสี่นี้ไม่ให้กระจัดกระจายแยกออกจากกัน ทั้งๆ ที่อยู่ที่ตัว หรือว่ารวมอยู่ในมหาภูตรูป แต่ทำไมเป็นทูเรรูป ทำไมเป็นรูปไกล ที่ว่าเป็นรูปไกลนี้ เพราะไกลหรือยากต่อการที่จะรู้แจ้ง ทั้งๆ ที่อยู่ที่ตัว แต่โดยลักษณะของรูปนั้นเป็นสุขุมรูป เป็นรูปละเอียด เป็นทูเรรูป เป็นรูปที่ยากที่จะรู้แจ้งได้ เพราะเหตุว่าเป็นอัปปฏิฆรูป กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้
สำหรับโอชารูปเป็นสุขุมรูป ๑ ชีวิตินทริยรูปเป็นสุขุมรูป ๑ เป็นรูปที่เกิดร่วมกับรูปที่เกิดเพราะกรรม เป็นสภาพที่ดำรงรักษารูปที่เกิดร่วมกันให้ดำรงอยู่ เป็นรูปที่ทรงชีวิตหรือมีชีวิต เป็นลักษณะที่ทำให้รูปที่เกิดจากกรรมนั้นต่างจากรูปที่เกิดเพราะอุตุ หรือเพราะอาหาร
หทยรูป เป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตทุกดวงเว้นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
เวลาเห็น จิตเห็นเกิดที่จักขุปสาท เวลาได้ยิน จิตได้ยินเกิดที่โสตปสาท เวลาได้กลิ่น รู้กลิ่น จิตที่รู้กลิ่นเกิดที่ฆานปสาท เวลารู้รส จิตที่รู้รสเกิดที่ชิวหาปสาท เวลารู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งที่ใด จิตที่รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง เกิดที่กายปสาท ตรงนั้น ที่นั่น
แต่จิตอื่น เช่น โลภมูลจิต ความคิดนึกต่างๆ เหล่านี้ เกิดที่หทยรูป เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ที่นามขันธ์จะเกิดโดยลำพัง โดยไม่อาศัยเกิดที่รูปนั้น ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ซึ่งเป็นที่จิตอื่นเกิดนอกจากทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง คือ ที่หทยรูป
สำหรับอิตถีภาวรูป ซึมซาบอยู่ทั่วตัว ปุริสภาวรูป ซึมซาบอยู่ทั่วตัว เป็นสุขุมรูปที่เป็นสภาวรูป
สภาวรูป ๑๘ รูป เป็นรูปหยาบ โอฬาริกรูป ๑๒ รูป และเป็นสุขุมรูป ๖ รูปเท่านั้น ไม่มีรูปนั่งเลย
