มานะเป็นสภาพธรรมที่ถือตน ทะนงตัว


    ถ. มีผู้กล่าวว่า มีมานะดี

    สุ. มานะเป็นสภาพธรรมที่ถือตน ทะนงตัว มีใครชอบให้ใครทะนงตัวหรือถือตัวบ้างไหม และการที่จะทะนงตัวถือตัว ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว ก็ย่อมมี แต่ว่าความหยาบ ความเบาบางต่างกันไป ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล อกุศลนี้ก็มากมาย แล้วแต่ว่าใครจะสะสมหนักมาในทางใด หรือว่าใครจะขัดเกลาให้เบาบางลงไปได้แล้วในแต่ละทาง แต่ถ้ายังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล กิเลสก็ยังไม่หมดเป็นสมุจเฉท ยังคงมีมากน้อยต่างกัน

    อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทส อัตตทัณฑสุตตนิทเทส ที่ ๑๕ มีข้อความเกี่ยวกับมานะที่ว่า คำว่า พึงกำหนดรู้มานะ

    ให้เว้นมานะหรือเปล่า ท่านที่ศึกษาปรมัตถธรรมแล้วจะทราบว่า มานะเกิดกับโลภมูลจิต สราคจิต สราคจิตมีมาก และเป็นสิ่งซึ่งจะต้องระลึกรู้ ยิ่งระลึกรู้ละเอียดเท่าไร ก็ยิ่งละความไม่รู้ ละการที่จะหลงผิด เข้าใจผิด ยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์บุคคล ถึงแม้ว่าจะเป็นสภาพอกุศลธรรม แต่ถ้าได้ยินได้ฟังและทราบว่าเป็นสิ่งที่จะต้องระลึกรู้ ในขณะที่มานะเกิด สติก็สามารถที่จะระลึกรู้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ระลึกรู้โดยสภาพของสราคจิตซึ่งเป็นจิตตานุปัสสนา ก็ระลึกรู้โดยลักษณะของธัมมานุปัสสนาได้ ซึ่งจะไม่พ้นไปเลย เรื่องของสติปัฏฐานแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องระลึกรู้ทั้งนั้น

    ข้อความใน อัตตทัณฑสุตตนิทเทส ข้อที่ ๑๕ มีว่า

    คำว่า พึงกำหนดรู้มานะ ความว่า พึงกำหนดรู้มานะด้วยปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา

    ญาตปริญญา เป็นไฉน นรชนย่อมรู้จักมานะ คือ ย่อมรู้ ย่อมเห็นว่า นี้เป็นมานะอย่างหนึ่ง ได้แก่ ความฟูขึ้นแห่งจิต นี้เป็นมานะ

    มานะ ๒ อย่าง ได้แก่ มานะในการยกตน มานะในการข่มผู้อื่น

    เป็นจิตใจของท่านเอง เป็นอกุศลธรรมที่ควรจะขัดให้เบาบาง หรือว่าให้ลดน้อยลง เพื่อการใกล้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้าไม่เจริญสติ มานะก็ฟูขึ้นบ่อยๆ ไม่ได้ระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง

    มานะ ๓ อย่าง ได้แก่ มานะว่าเราดีกว่าเขา ๑ เราเสมอเขา ๑ เราเลวกว่าเขา ๑ เป็นมานะเพราะว่ามีการเทียบเคียง

    มานะ ๔ อย่าง ได้แก่ บุคคลให้มานะเกิดขึ้นเพราะลาภ ๑ เพราะยศ ๑ เพราะสรรเสริญ ๑ เพราะสุข ๑

    เวลาที่ได้ลาภ เป็นลาภที่ประณีตกว่าของคนอื่น เกิดมานะไหม เราได้ดีกว่าคนอื่น

    มานะเกิดขึ้นเพราะยศ ผู้ที่มีตำแหน่งการงานเจริญก้าวหน้าก็อาจจะเป็นเหตุให้มานะเกิดขึ้นเพราะยศ

    มานะเกิดขึ้นเพราะสรรเสริญ เวลาได้สรรเสริญ ถ้าผู้ใดรับไม่เป็น หลงติด ยึดถือ เป็นแต่เพียงคำที่คนอื่นกล่าว แต่ว่าใจนี้ไปติดเสียหนาแน่น เหนียวแน่นเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็มีการฟูขึ้นในคำสรรเสริญนั้น ก็เป็นหนทางที่จะเพิ่มพูนอกุศลธรรม

    บางท่านให้มานะเกิดขึ้นเพราะสุข เป็นไปได้ไหม เวลาที่มีความสุขแล้วจะเกิดมานะ เราเป็นสุข คนนั้นทุกข์กว่าเรา

    ขุททกนิกาย มหานิทเทส แสดงมานะ ๕ อย่าง คือ

    บุคคลให้มานะเกิดขึ้น เพราะได้รูปที่ชอบใจ ได้เสียงที่ชอบใจ ได้กลิ่นที่ชอบใจ ได้รสที่ชอบใจ ได้โผฏฐัพพะที่ชอบใจ

    ที่ได้มาเพราะกุศลวิบาก แต่ก็เป็นปัจจัยให้มานะเกิดได้ด้วยความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เมื่อได้มาก็ดีแล้ว เป็นผลของอดีตบุญกุศลที่ได้ทำไว้ แต่แม้กระนั้นพอได้มา ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่รู้เรื่องของอกุศลธรรม ก็ทำให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นมานะ

    ในสูตรนี้ยังแสดงเรื่องของมานะ ๖ อย่าง คือ

    บุคคลให้มานะเกิดขึ้น เพราะความถึงพร้อมแห่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    มานะเกิดได้อีกแล้วเมื่อมีตาดี หูดี จมูกดี ลิ้นดี กายดี ใจดีกว่าคนอื่นอีกแล้ว ลำบากไหมเรื่องของอกุศลธรรม ระแวดระวังเกือบจะไม่ได้เลย ถ้าขาดสติที่เป็นเครื่องกั้นแล้ว ก็ไหลไปตามอกุศลธรรมมากมายเหลือเกิน

    มานะ ๗ คือ ความถือตัว ๑ ความดูหมิ่น ๑ ความถือตัวและความดูหมิ่น ๑ ความถือตัวต่ำ ๑ ความถือตัวสูง ๑ ความถือตัวว่าเรามั่งมี ๑ ความถือตัวผิด ๑

    ถ้าสังเกตดีๆ อาจจะทราบว่า ขณะไหนเป็นอย่างไร หรือว่าใครกำลังเป็นอย่างไรก็ได้

    นอกจากนั้นยังมี มานะ ๘

    ซึ่งบุคคลให้มานะเกิดขึ้นเพราะลาภ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดเพราะเสื่อมลาก ๑ ให้ความถือตัวเกิดเพราะยศ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดขึ้นเพราะเสื่อมยศ ๑ ให้ความถือตัวเกิดเพราะสรรเสริญ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดขึ้นเพราะนินทา ๑ ให้ความถือตัวเกิดขึ้นเพราะสุข ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดขึ้นเพราะทุกข์ ๑

    เป็นเรื่องของโลกธรรมซึ่งหมุนเวียนไป แล้วแต่ว่าผู้ใดกำลังประสบอะไร แต่แม้กระนั้นก็ยังเป็นเหตุให้มานะเกิดได้ นอกจากนั้นยังมีมานะ ๙ จำแนกไปตามฐานะที่ว่า ดีกว่าคนอื่น ๑ เสมอกับคนอื่น ๑ เลวกว่าคนอื่น ๑ และยังมีมานะ ๑๐ เพราะชาติ เพราะตระกูล และเพราะวัตถุอื่น

    ข้อความในสูตรนี้มีว่า

    รู้ลักษณะมานะ ชื่อว่า ญาตปริญญา

    พิจารณามานะโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นตีรณปริญญา

    พิจารณาแล้วละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป เป็นปหานปริญญา

    เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ จะต้องพิจารณาสราคจิต เพราะเหตุว่าเวลาที่มานะเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับจิตประเภทอื่น แต่เกิดกับโลภมูลจิต เป็นสราคจิตนั่นเอง

    โลภมูลจิตมี ๘ ดวง มานะเกิดกับโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ไม่เกิดพร้อมกับ ความเห็นผิด

    ถ. (ไม่ได้ยิน)

    สุ. ยังไม่ทันโทมนัส กำลังเราต่ำกว่า ขณะจิตเร็วมาก ขณะที่เราต่ำกว่า เราต่ำกว่า เรานี้คือมานะแล้ว มีเรา มีเขา ในขณะที่เราต่ำกว่า ความคิดอย่างนั้นในขณะนั้นเป็นโลภมูลจิตที่มีมานะเกิดร่วมด้วย

    วิถีจิตเร็วมากทีเดียว ทำให้เข้าใจธรรมสับสน คือ ธรรมชนิดนี้บางท่านเข้าใจว่าจะต้องเกิดกับโทสมูลจิต ธรรมชนิดนั้นบางท่านเข้าใจว่าต้องเกิดกับโลภมูลจิต แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะวิถีจิตเกิดติดต่อกันอย่างรวดเร็วมาก

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 136


    หมายเลข 13933
    28 พ.ย. 2568