จักขุปสาทเป็นอินทรีย์


    อย่างจักขุปสาทเป็นอินทรีย์ เพราะเหตุว่าในรูปทั้งหลายที่ประชุมรวมกันเป็นกาย ถ้าขาดจักขุปสาทแล้ว การเห็นจะมีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในการรับกระทบสีนั้นก็เป็นเพียงรูปชนิดหนึ่ง และเมื่อกระทบกับสีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ไม่ควรเลยที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตน

    จักขุปสาทจะไม่เปลี่ยนลักษณะเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาทในอดีต หรือว่าจักขุปสาทที่กำลังมีในขณะนี้ หรือว่าจักขุปสาทที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า จักขุปสาทก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง เป็นใหญ่ในการรับกระทบสี ซึ่งการเทศนาโดยนัยต่างๆ จะช่วยทำให้ละคลายการที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    จักขุปสาท นอกจากจะเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ในการรับกระทบสี จักขุปสาทนั้นยังเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และเมื่อเป็นธรรมชาติที่มีจริง ธรรมชาติที่มีจริงนั้นก็เป็นลักษณะของธาตุที่เป็นรูปชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง

    โดยนัยของธาตุ ๑๘ ก็เป็นจักขุธาตุ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงโดยพระธรรมเทศนา ได้จัดประเภทไว้ว่า ธรรมที่เป็นอินทรีย์ ธรรมที่เป็นใหญ่นั้นมีทั้งหมด ๒๒ ลักษณะ ส่วนธรรมที่เป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงธาตุชนิดต่างๆ นั้น เมื่อสรุปก็เป็นธาตุ ๑๘ แต่ถ้าโดยนัยของพระสูตรแล้ว ทุกอย่างเมื่อไม่ใช่ตัวตนก็เป็นธาตุแต่ละชนิดเท่านั้น

    ความต้องการรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อไม่ใช่ตัวตนก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง สิ่งที่มีจริงแล้วต้องเป็นธาตุแต่ละลักษณะ เป็นกามธาตุ ความต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ใช่ตัวตนเลย ที่เคยยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ถ้าแตกย่อยกระจายออกแล้ว ก็เป็นลักษณะของธรรมชาติแต่ละชนิดๆ

    ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นเนกขัมมธาตุ

    แต่ถ้าจะสรุปลงในประเภทของธาตุ ๑๘ ก็เป็นธัมมธาตุ และจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่เป็นใหญ่ในการรับกระทบสีนั้น ก็ยังเป็นที่ต่อหรือที่ประชุมของรูป ที่ทำให้เกิดการเห็น

    จักขุปสาท รูปที่ผ่องใสที่รับกระทบกับสี เป็นจักขวายตนะ หมายความว่า เป็นที่ต่อกับรูปายตนะ คือ รูปที่กำลังปรากฏกระทบกัน ประชุมกัน ทำให้เกิดการเห็นขึ้น การรู้อย่างนี้จะมีประโยชน์ไหม เพราะเหตุว่าถ้าไม่ศึกษาธรรมที่จะกระจัดกระจายลักษณะของธรรมชาติออกไปเป็นแต่ละลักษณะ ยังคงประชุมรวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนทั้งนามทั้งรูปแล้ว การที่จะละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาจะเจริญถึงขั้นที่ละจะคลายได้ ก็เพราะรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ต้องกระจัดกระจายออกเป็นแต่ละลักษณะจริงๆ ไม่ใช่ว่ายังรวมกันอยู่

    ถ้าไม่เจริญสติ ก็หมดหนทางที่จะรู้ลักษณะของนามและรูปแต่ละประเภทได้ และท่านยังทรงแสดงไว้ถึงเหตุปัจจัยของแต่ละอย่างด้วย อย่างตาที่อยู่ที่กาย อาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะว่าที่กาย รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม แต่จักขุ-ปสาทนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นอีกรูปหนึ่ง แต่ไม่ได้แยกจากดิน น้ำ ไฟ ลม ยังคงต้องอาศัยดิน น้ำ ไฟ ลม ที่รวมกันอยู่นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีแต่จักขุปสาทซึ่งเป็นปสาทรูปที่ผ่องใสที่สามารถรับกระทบสีเพียงลำพังไม่ได้เลย

    นี่ก็เป็นปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเกิดได้โดยลำพัง จะเห็นได้จริงๆ ว่า ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นเพราะเหตุว่ายังไม่รู้ชัดในลักษณะของรูปแต่ละรูปนั่นเอง [ตอนที่ 80]


    หมายเลข 13819
    1 ก.ค. 2568