เรื่องเจริญสติปัฏฐาน


    ...

    สุ. คือเวลาที่ท่านเริ่มเจริญสติปัฏฐาน มีการรู้ว่าผิดไปอย่างโน้นบ้างอย่างนี้บ้างเป็นประโยชน์ ถ้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร ก็เจริญผิดไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่กลับมารู้ทางที่ถูกเลย

    ถ. ในการที่พยายามปฏิบัตินี้ ขณะที่เดินอยู่นี้ ในขั้นต้นก็รู้สึกว่าการที่เราถอยไปแล้ว เดินไปประเดี๋ยวหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ นี่มันไม่ถูกนี่ ทำไมเรามารู้สึกเฉพาะการเดินนี้ทางเดียว ทางตาเราก็เห็น ทางหูเราก็ได้ยิน เอาสติไปทิ้งเสียที่ไหน จึงไม่ปรากฏ

    ส. ความจริงเรื่องเจริญสติปัฏฐาน รู้ที่ลักษณะของนามและรูป ชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้ที่ปรากฏแล้ว คือที่เกิดขึ้นแล้วปรากฏในขณะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น เวลาที่กำลังเดินอยู่ แล้วก็มีการรู้ที่ส่วนหนึ่งส่วนใด ของรูปที่กำลังก้าว หรือกำลังไหว ในขณะนั้นถ้ารู้ลักษณะ ก็เป็นความรู้ที่ถูก ไม่ใช่ความรู้ที่ผิด แต่ส่วนการที่นึกขึ้นมา นั่นเป็นนามอีกชนิดหนึ่ง

    ถ. รู้สึกว่าเวลาเดิน รู้สึกขึ้นมา

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 14

    สุ. คือ เวลาที่กำลังพิจารณานามและรูปชนิดหนึ่งชนิดใดนาน รู้ว่าเป็นการจดจ้อง ที่ถูกแล้ว ในขณะที่กำลังพิจารณานามและรูปในขณะนั้น ควรที่จะได้พิจารณาถึงลักษณะของนามและรูป เพราะว่าขณะนั้นปัญญาจะเพิ่มความรู้ลักษณะของนามและรูปขึ้นว่ารู้นามนั้นชัดเจน หมายความว่าไม่สงสัย ไม่เห็นผิดหรือยัง รู้รูปนั้นถูกต้องในขณะที่กำลังปรากฏนั้นแล้วหรือยัง เท่านั้นเอง ยังไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะนานมากจะนานน้อย แต่หมายความว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นเพื่อปัญญา เพื่อความรู้ เพราะว่าบางคนแทนที่จะเจริญสติ ก็ไปเสียดายว่าวันนี้สติไม่เกิด หรือว่าไม่ได้เจริญสติ การคิดอย่างนั้นก็เป็นนามชนิดหนึ่ง ความรู้สึกเสียดายก็เป็นนามอีกชนิดหนึ่ง แต่ว่าบังไม่ให้พิจารณานามและรูปที่กำลังปรากฏ โดยการรู้สึกว่าเป็นตัวตนที่กำลังเสียดาย กำลังเสียดายนั้น ต้องเป็นตัวตนแน่ เพราะอะไร? เพราะไม่รู้ลักษณะของนามหรือรูป ที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดในขณะนั้น ฉะนั้น ถ้ากำลังมีสติคือการรู้สึกตัว รู้ที่ลักษณะของนามหรือรูปชนิดหนึ่งชนิดใด ปัญญารู้ลักษณะของนามและรูปนั้น หมดความสงสัยในลักษณะของนามและรูปนั้นหรือยัง เพราะว่า ความจริงนามนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ รูปนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ แต่ทั้งนามและรูปนั้นเกิด ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ผู้ใดไม่รู้ ผู้นั้นก็คิดว่ามีตัวตนที่ทำให้นามและรูปนั้นเกิดขึ้นทุกๆ ขณะที่กำลังได้ยิน ใส่ใจว่าสภาพนั้นเป็นสภาพรู้ และการได้ยินจะเกิดบ่อยจะเกิดติดต่อกันนานๆ มากสักเท่าไร ก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชา แม้สติที่ใส่ใจในสภาพที่ได้ยิน ก็มีปัจจัยให้สติใส่ใจในสภาพที่ได้ยิน เพราะว่าการได้ยินมีตั้งหลายครั้ง แต่บางครั้งสติไม่ได้รู้ที่ลักษณะที่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ในขณะใด ที่สติรู้ที่ลักษณะที่ได้ยิน ปัญญาก็พิจารณารู้ว่าสภาพนี้เป็นสภาพรู้ เนืองๆ บ่อยๆ จะมากจะน้อยนั้นก็เรื่องของสติ

    ถ. ... .

    ส. ดิฉันไม่อยากจะใช้คำว่า ดู เพราะรู้สึกว่าจะทำให้รู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ที่กำลัง ดู หมายความว่าสติจะเกิดขึ้นแล้วแต่ว่าลักษณะของนามใดรูปใดจะปรากฏ แล้วสติรู้ที่ลักษณะของนามรูป ไม่มีการเจาะจง ไม่มีการเตรียม ไม่มีการตั้งใจจงใจว่าจะดูนั่นดูนี่ ถ้าสติไม่เกิด ไม่พิจารณาสภาพนั้น ปัญญาไม่เกิด จะถึงความสมบรูณ์ของปัญญาเป็นขั้นๆ ได้อย่างไร แต่ว่าถ้าผู้ใดเจริญสติ ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหวเลย ไม่ผิดปกติ ไม่ต้องจำกัดสถานที่ด้วย ถ้ายังจำกัดสถานที่ หมายความว่า ยังรู้ไม่ทั่ว เพราะเหตุว่าเป็นสังขารธรรมทั้งนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเหมือนกันหมด ถ้ายังมีความคิดความเข้าใจว่าต้องอยู่ในที่จำกัด ยังรู้ไม่ทั่วเลย เพราะถ้าทั่วแล้ว ตลอดชีวิตเป็นสังขารธรรม ที่เกิดดับทั้งนั้น และการละคลายก็จะต้องละคลายด้วยความรู้ เพราะถ้าไม่รู้แล้วละไม่ได้เลย ในสัพพสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสิ่งทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นสิ่งทั้งปวง จักษุกับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพารมณ์ ใจกับธรรมารมณ์ อันนี้ เรากล่าวว่า สิ่งทั้งปวง ก็คงจะไม่มีข้อสงสัยเลย ว่าจะต้องรู้อะไร จะต้องพิจารณาอะไร เพราะว่าการคิดนึก ก็เป็นสภาพของนาม ของจริงชนิดหนึ่ง ที่ผู้เจริญสติจะต้องรู้ สภาพที่คิดนั้นก็เป็นสภาพที่รู้ รู้เรื่องที่คิดนั้นแล้วก็ดับไป แล้วก็คิดเรื่องอื่นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นสุขเป็นทุกข์ใดๆ ก็เป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งนั้น

    ถ. ... ..

    สุ. การที่จะประจักษ์ความไม่เที่ยงของเสียง ไม่ใช่ให้คิดว่าเสียงไม่เที่ยง ด้วยเหตุนี้ ความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณจึงเป็นขั้นๆ ขั้นที่ ๑ ไม่ใช่ อุทยัพพยญาณ ไม่ใช่การรู้การเกิดดับ นั่นเป็นมหาวิปัสสนา หมายความว่าผู้นั้น จะต้องรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามรูป หลังจากการที่ได้เจริญสติพิจารณาสภาพที่ต่างกันของนามรูปแล้ว รู้ปัจจัยรู้การเกิดดับที่สืบต่อกัน แล้วก็พิจารณานามรูปทั้งปวงโดยที่ไม่มีความเห็นผิด โดยที่ไม่มีความสงสัยว่าจะต้องเฉพาะสถานที่นั้น นามนั้นรูปนั้นจึงจะเป็นมหาวิปัสสนา

    เมื่อละคลายมากขึ้นแล้ว สภาพการเกิดดับของนามรูปจึงปรากฏ ใครรู้ไม่ใช่ตัวตนเลย ไม่ใช่อัตตา เป็นปัญญาที่เจริญขึ้นเป็นขั้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นนั้นเมื่อปัญญาเจริญขึ้น อยู่ที่ไหนก็จะต้องรู้ ฉะนั้น การที่ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญสติปัฏฐานปัญญาขั้นไหนจะสมบูรณ์ ก็อยู่ที่เหตุ ไม่ใช่อยู่ที่ความปรารถนา ไม่ใช่อยู่ที่ความต้องการ ไม่ใช่อยู่ที่กาลเวลาว่าเจริญสติปัฏฐานมา ๗ วันแล้ว ๗ เดือนแล้ว หรือว่า ๗ ปีแล้ว ถ้าเหตุไม่สมควรแก่ผล เจริญ ๒๕ ปี ๕๕ ปี ความสมบูรณ์ ของปัญญาสักขั้นหนึ่งก็เกิดไม่ได้ แล้วถ้าความสมบรูณ์ของปัญญาเกิดขึ้นเป็นขั้นๆ แล้ว จะสมบูรณ์เมื่อไร ที่ไหน ก็ไม่มีใครจะเป็นอัตตาบังคับได้ ว่าจะต้องสมบรูณ์ในป่า หรือว่าสมบูรณ์ในบ้าน สมบูรณ์ในขณะกล่าวธรรมเทศนา ก็ไม่มีใครกำหนดได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย การบรรลุธรรมก็ต้องแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยด้วย

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 15


    หมายเลข 13508
    21 เม.ย. 2568