ปุพพกัมมปิโลติ อดีตกรรมของพระพุทธองค์
สำหรับเรื่องของการที่จะได้รับทุกข์โทษภัยในวัฏฏะ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถจะล่วงรู้ไปถึงว่า การได้รับผลของกรรมแต่ละขณะนั้น เกิดขึ้นมาจากการกระทำตั้งแต่ครั้งไหน เมื่อไร อย่างไร เพื่อที่จะให้เห็นพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค ซึ่งทรงพระมหากรุณาแสดงอดีตกรรมของพระองค์เอง
ในขุททกนิกาย ใน พุทธาปาทาน ชื่อ ปุพพกัมมปิโลติที่ ๑๐ จะไม่กล่าวถึงบุพพกรรมของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด จะกล่าวเพียงบางข้อบางประการเท่านั้น
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ตรัสชี้แจงบุพพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา กรรมแรกที่พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนา การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น ก็ในสมัยที่ชาติหนึ่งที่พระองค์ทรงเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง แล้วได้ถวายผ้าเก่าพร้อมกันนั้นก็ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลของกรรมอันนั้น ก็ได้อำนวยให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย อันนั้นเป็นความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรกของพระองค์
ในกาลก่อน พระองค์เป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัวจึงห้าม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้พระองค์จะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การห้ามแม่โคที่กำลังดื่มน้ำที่ขุ่นมัว ก็สามารถที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้รับผลของกรรมในชาติหลังๆ ได้ ฉะนั้น ภพชาติเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ตั้งแต่เกิดมา ถ้านึกย้อนถึงอดีตกรรม คนทำอะไรคงทำยิ่งกว่านี้ ยิ่งกว่าห้ามโคที่กำลังดื่มน้ำขุ่นมัว ฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะทำให้เกิดในภพไหน ภูมิไหน ก็เป็นเรื่องของวัฏฏะ
ในชาติอื่นในกาลก่อน เป็นนักเลงชื่อ ปุนนานิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า "สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากนั้น ท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระองค์จึงได้รับคำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะบำเพ็ญบารมีพากเพียรนานนับไม่ถ้วนอย่างไรก็ตาม เมื่อยังมีเหตุปัจจัย คือภพชาติ ก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้น
ในกาลก่อน เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ สาวกของพระผู้มีพระภาคในสมัยนั้น จึงท่องเที่ยวในนรกนานถึงหมื่นปี เป็นมนุษย์แล้วได้รับการกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือ นางจิญจมาณวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยถ้อยคำไม่จริง
ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขาแล้วบดคือทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินลงมากระทบนิ้วหัวแม่เท้าจนห้อเลือด
ในกาลก่อน เป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าพระองค์
ที่ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์ ก็เพราะว่า ในสมัยนั้นมีผู้รู้มีผู้เห็นการกระทำของนางสุนทรี ของนางจิญจมาณวิกา หรือว่าของพระเทวทัต ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์ปรากฏอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ ก็ทรงแสดงให้เห็นถึงอดีตที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะกรรมอะไร
ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระปุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์อันพรามหณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคในชาติที่ชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์ได้ประพฤติกรรมอันทำได้ยากมาก คือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่พระองค์ก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยหนทางนี้ พระองค์อันบุพพกรรมตักเตือนแล้ว จักพึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด หมายความถึงตอนที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
บัดนี้ พระองค์เป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ด้วยประการฉะนี้ แล
นี่เป็นเรื่องที่แสดงอดีตกรรม ก็จะได้ให้ท่านเห็นว่า ควรจะต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เจริญกุศลทุกประการ ไม่ให้เกิดความเห็นผิด ไม่ให้มีการพูดผิด หรือว่าไม่ให้มีการประพฤติผิด เพราะว่า เรื่องของการที่จะขัดเกลากิเลสจนกว่าจะบรรลุความเป็นอริยบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องเจริญมากๆ บ่อยๆ เนืองๆ ด้วย
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 13
