สัมผัปปลาปวาจา


    ขอกล่าวถึงเรื่องของสัมผัปปลาปวาจา

    ใน สาเลยยกสูตร มีข้อความที่แสดงว่า การเป็นคนพูดเพ้อเจ้อประการหนึ่งนั้นคือ พูดในเวลาไม่ควรพูด

    เรื่องของคำพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ คือ บุคคลเป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อในขณะที่พูด ในเวลาไม่ควรพูด เพราะเหตุใด เพราะว่าขณะนั้นไม่มีประโยชน์เลย ไม่ใช่เวลา ไม่ใช่กาลที่ควรจะพูด ถึงแม้ว่าจะพูดก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนั้น ถ้าพูดในขณะนั้นก็เป็นการกล่าวคำเพ้อเจ้อ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส ซึ่งยังไม่ได้ดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ก็ย่อมจะมีการปรากฏของขณะที่หลงลืมสติ และมีการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูดได้

    ขอกล่าวถึง อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต จิตตหัตถิสารีปุตตสูตร ข้อ ๓๓๑ ซึ่งมีข้อความว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต นั่งประชุมสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อพวกภิกษุผู้เถระกำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร จงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน ฯ

    แสดงให้เห็นว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรยังขัดเกลากิเลสไม่พอ กิเลสยังไม่หมด จึงมีการพูดสอดขึ้นในระหว่างที่ท่านพระเถระทั้งหลายกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่

    เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล พวกภิกษุผู้เป็นสหายของท่าน พระจิตตหัตถิสารีบุตรได้กล่าวกับท่านมหาโกฏฐิตะว่า

    แม้ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ย่อมรุกรานท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร (เพราะว่า) ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นบัณฑิต ย่อมสามารถกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากับพวกภิกษุผู้เถระได้

    ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ทราบวาระจิตของผู้อื่น พึงรู้ข้อนี้ได้ยาก ฯ

    นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน ซึ่งขณะที่ท่านพระเถระท่านกล่าว อภิธรรมกถากัน ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรกล่าวแทรกขึ้น และเมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวตักเตือน สหายของท่านจิตตหัตถิสารีบุตรกลับมีความเข้าใจว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะรุกรานท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เพราะสหายของของท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรมีความเห็นว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นบัณฑิต ย่อมสามารถกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากับพระภิกษุผู้เถระได้

    นี่เป็นความเห็นของคนที่เห็นเพียงภายนอก โดยเห็นว่าท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น ย่อมสามารถที่จะกล่าวอภิธรรมกถากับพระภิกษุเถระได้ แต่ท่านพระมหาโกฏฐิตะเป็นพระอรหันต์ และสามารถที่จะรู้วาระจิตด้วย ท่านจึงกล่าวว่า ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ทราบวาระจิตของผู้อื่น พึงรู้ข้อนี้ได้ยาก ฯ

    รู้จิตของคนอื่นยากไหมว่า ยังมีกิเลสสะสมอยู่จึงได้กล่าวแทรกขึ้นอย่างนั้น หรือว่าเป็นเพราะประการใด หรือเป็นเพราะลักษณะของจิตประเภทใด เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า เรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ละเอียด สุขุม รู้ได้ยาก และจะรู้ได้จริงๆ ชัดเจน ละเอียดขึ้นถึงจิตของท่านเอง ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งทำให้สามารถที่จะรู้ถึงจิตของบุคคลอื่นด้วย เพราะว่าจิตของผู้ที่เป็นปุถุชนก็ย่อมจะเหมือนกัน คือ มีความหนาแน่นของกิเลส มีการไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    แต่จิตของผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ย่อมขัดเกลา ละคลายกิเลส ดับความไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และสามารถที่จะละกิเลสเป็นสมุจเฉทได้ตามลำดับ ซึ่งถ้าผู้ใดยังไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าก็ย่อมจะรู้จิตของผู้นั้นได้ว่า ยังเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลสเพียงไร

    ข้อความต่อไป

    ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นดุจสงบเสงี่ยม เป็นดุจอ่อนน้อม เป็นดุจสงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่ว่าเมื่อใดเขาหลีกออกไปจากพระศาสดา หลีกออกไปจากเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครู เมื่อนั้น เขาย่อมคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนโคที่เคยกินข้าวกล้า ถูกเขาผูกไว้ด้วยเชือกหรือขังไว้ในคอก ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนี้จักไม่ลงกินข้าวกล้าอีก ณ บัดนี้ ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวตอบว่า ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนั้น พึงดึงเชือกขาด หรือแหกคอก แล้วลงไปกินข้าวกล้าอีกทีเดียว ฉันใด ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นดุจสงบเสงี่ยม เป็นดุจอ่อนน้อม เป็นดุจสงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่ว่าเมื่อใดเขาหลีกไปจากพระศาสดา หรือหลีกออกไปจากเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครู เมื่อนั้นเขาย่อมคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    เป็นชีวิตจริงๆ ของทุกคนหรือเปล่า อยู่ในสถานที่หนึ่งก็เรียบร้อย อ่อนน้อม สงบเสงี่ยม โดยเฉพาะถ้าเป็นเพศบรรพชิต ในสำนักของพระศาสดา หรือว่าอยู่กับอุปัชฌาย์อาจารย์ หรือว่าในสถานที่ ในบางกาล บางแห่ง เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าพอพ้นจากสถานที่นั้น ความโน้มเอียงของกิเลสที่สะสมมานี้ มีหรือที่จะไม่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่จะโน้มเอียงไปสู่การชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ

    ชีวิตของทุกคนตามความเป็นจริง เวลาที่ท่านกำลังสนใจในธรรม ฟังธรรม เกิดศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลส ก็กาลหนึ่ง สถานที่หนึ่ง ขณะหนึ่ง แต่พอพ้นจากสถานที่นี้ พ้นจากกาลนี้ จะมีความโน้มเอียงของกิเลสที่จะให้ท่านเป็นไปตามอำนาจของการสะสมของกิเลสไหม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า จะดูหนัง จะดูละคร จะดูโทรทัศน์ จะทำอะไรๆ ตั้งหลายอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าจะละเลยการที่จะขัดเกลากิเลส แต่ว่ากิเลสที่สะสมมาเป็นของจริง ย่อมจะปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริง เพราะว่าบางครั้งถูกชักชวนไปดูหนังก็ไป ถูกชักชวนไปงานรื่นเริงใดๆ สนุกสนานก็ไป ยับยั้งไม่ได้ ย่อมเป็นไปอย่างนั้นตามความเป็นจริง

    ชีวิตของท่านเอง ไม่ต้องดูบุคคลอื่น เริ่มตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนในห้องเรียนก็ได้ เรียบร้อยเวลาที่ครูอยู่ แต่เวลาที่พ้นครูไปแล้ว ก็สนุกสนานรื่นเริง ตั้งแต่เด็กก็เป็นอย่างนี้ ครั้นเป็นผู้ใหญ่ มีกิจการงาน มีหน้าที่ ในสถานที่ ในกาลที่ท่านจะต้องรับผิดชอบ ก็เป็นผู้อ่อนน้อม เป็นผู้สงบเสงี่ยม ท่านเป็นอย่างนั้น แต่เวลาที่อยู่ในหมู่คณะด้วยกัน ในระหว่างมิตรสหายเพื่อนฝูง ท่านก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต การสะสมของกุศลและอกุศลที่มีอยู่ในจิตจะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นปรากฏเป็นไปอย่างนั้น ตราบใดที่ยังเป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส คือ ในหมู่คณะด้วยกันก็เป็นอย่างหนึ่ง คือ อาจจะเป็นบุคคลที่ดุจสงบเสงี่ยม เป็นดุจอ่อนน้อม เป็นดุจสงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่เมื่อพ้นไปจากสถานที่นั้น คือ ในสถานที่อื่น เขาหลีกออกไปจากพระศาสดา หลีกออกไปจากเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเป็นครู เมื่อนั้นเขาย่อมคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา

    เป็นความจริงใช่ไหม เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมาที่ยังมีกิเลสอยู่ มีใครบ้างไหมที่ไม่ชอบสนุกสนาน มีไหม

    มีจริงๆ หรือ ไม่มีการเล่นหัว หรือหัวเราะพูดคุย ร่าเริงสนุกสนานกับมิตรสหาย กับเพื่อนฝูงบ้างหรือ

    และถึงแม้ว่าจะเป็นบรรพชิต เป็นภิกษุแล้ว ถ้าคลุกคลีกับภิกษุด้วยกันบ้าง หรือภิกษุณี หรืออุบาสก หรืออุบาสิกา หรือพระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชา ย่อมมีเรื่องอื่นที่จะทำให้เพลิดเพลิน วิพากษ์วิจารณ์ สนุกสนานในเรื่องต่างๆ ที่สนทนากัน เพราะฉะนั้น จิตใจย่อมจะเป็นไปด้วยราคะบ้าง โทสะบ้าง แล้วแต่ว่ากิเลสที่สะสมมาจะมีกำลังมากเพียงไร

    ด้วยเหตุนี้ ท่านพระโกฏฐิตะจึงได้อุปมาว่า เปรียบเหมือนโคที่เคยกินข้าวกล้า ถูกเขาผูกไว้ด้วยเชือก หรือขังไว้ในคอก ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนี้จักไม่กินข้าวกล้าอีก ณ บัดนี้ ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือ ซึ่งภิกษุเหล่านั้นก็กล่าวตอบว่า ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนั้น พึงดึงเชือกขาดหรือแหกคอก แล้วลงไปกินข้าวกล้าอีกทีเดียว

    ถ้าเป็นบรรพชิตก็มีศีล หรือมีพระศาสดา มีเพื่อนพรหมจรรย์ผูกไว้เหมือนกับโคที่เคยกินข้าวกล้า แต่จะกล่าวไม่ได้เลยว่า โคที่เคยกินข้าวกล้านั้น จะไม่ไปกินข้าวกล้าอีก เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีความปรารถนา ยังมีความต้องการในเรื่องของโลภะ ในเรื่องของโทสะ ในเรื่องของกิเลสต่างๆ และเป็นผู้ที่ไม่สำรวม ยังคงคลุกคลีกับพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา ข้อนั้นก็ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนั้น พึงดึงเชือกขาด หรือแหกคอก แล้วลงไปกินข้าวกล้าอีกทีเดียว

    เพราะฉะนั้น สำหรับบรรพชิตรูปนั้น ถ้าปล่อยจิตอย่างนั้น ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    เป็นชีวิตจริงตามความเป็นจริง ที่ต้านทานกำลังของกิเลสไม่ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่จะให้กิเลสนั้นเกิดในขณะใดมากหรือน้อย แต่ถ้าเป็นผู้ที่เสพอยู่เสมอ ให้ปัจจัย ให้โอกาสแก่กิเลสอยู่เสมอ บรรพชิตรูปนั้นก็ย่อมสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    หรือแม้แต่ท่านพระภิกษุซึ่งท่านเคยอบรมเจริญสมถภาวนา บรรลุฌานต่างๆ ท่านพระมหาโกฏฐิตะก็กล่าวว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เขากล่าวว่า เราได้ปฐมฌาน (แต่) คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 439

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ (เท่าลูกเห็บ) ตกลงที่ทางใหญ่สี่แพร่ง พึงยังฝุ่นให้หายไป ปรากฏเป็นทางลื่น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ฝุ่นจักไม่ปรากฏที่ทางใหญ่สี่แพร่งโน้นอีก ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ มนุษย์หรือโคและสัตว์เลี้ยง พึงเหยียบย่ำที่ทางใหญ่สี่แพร่งแห่งโน้น หรือลมและแดดพึงแผดเผาให้แห้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝุ่นพึงปรากฏอีกทีเดียว ฉันใด ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    นี่แสดงให้เห็นถึงความลึก ความหนาแน่น ความเหนียวแน่นของกิเลส ซึ่งไม่สามารถจะดับได้เพียงด้วยการอบรมเจริญสมถภาวนา แม้ว่าจะบรรลุปฐมฌาน แต่ว่าความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่สามารถที่จะค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายกิเลสตามความเป็นจริงได้ ซึ่งกิเลสที่สะสมมา เวลาที่มีปัจจัย มีกำลังเกิดขึ้น ก็ย่อมจะทำให้บุคคลนั้น โน้มเอียงไปในทางคลุกคลีตามกำลังของกิเลส ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง อาศัยเพียงความสงบเท่านั้น

    อุปมาเหมือนกับฝนเม็ดใหญ่ซึ่งตกลงมา ทำให้หนทางนั้นปราศจากฝุ่นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหลังเมื่อมีมนุษย์ หรือโค หรือสัตว์เลี้ยง เหยียบย่ำที่ทางใหญ่สี่แพร่งนั้นอีก ลมและแดดพึงแผดเผาให้แห้ง ฝุ่นพึงปรากฏขึ้นอีก

    กิเลสนี้ยากจริงๆ แก่การที่จะดับได้ หลายท่านทีเดียวที่เข้าใจว่า จะต้องอบรมเจริญสมาธิเพื่อให้จิตสงบเสียก่อน ก็จะได้รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่จะเห็นได้ว่า มีผู้ที่เป็นฌานลาภีบุคคลมากมายหลายท่าน ที่สามารถอบรมจิตให้สงบถึงขั้นฌานจิต แต่ไม่สามารถดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ชัดจริงๆ ว่า สภาพธรรมใดเป็นนามธรรม สภาพธรรมใดเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว แต่จะต้องอาศัย สติระลึก สังเกต สำเหนียก จนหมดความเคลือบแคลงสงสัย จนเป็นความรู้ชัดจริงๆ ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะสอบทาน พิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเองถึงปัญญาที่แท้จริงว่ามีหรือเปล่า และที่จะพิสูจน์ได้ คือ ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้เอง ขณะที่กำลังเห็น รู้ไหมว่า เป็นนามธรรมอย่างไร เป็นรูปธรรมอย่างไร ถ้ารู้ ก็ต้องรู้ลักษณะของสติด้วย ไม่ใช่เพียงนึกว่า ขณะที่กำลังเห็นนี้เป็นนามธรรม และเมื่อสติเกิด สามารถจะรู้ได้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา จิตไม่หวั่นไหว ไม่มีการผิดปกติใดๆ เพราะเป็นปัญญาที่รู้จริง เพราะได้อบรมมาแล้ว

    แต่โดยมากมีท่านผู้ฟังหลายท่าน ที่ท่านสังเกต สำเหนียก และก็ระลึกได้ว่า บางครั้งความเป็นตัวตนอย่างเหนียวแน่น อย่างละเอียดแทรกขึ้น ทำให้ผิดปกติไป นิดหนึ่ง เวลาที่จะระลึกทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ถ้ามีความจงใจนิดหนึ่งที่จะรู้ ขณะนั้นไม่ใช่สภาพธรรมตามปกติ เช่น มีการเกร็ง การรู้สึกแข็ง มีการจดจ้อง ขณะนั้นทราบได้ว่า ไม่ใช่เป็นปัญญาที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามที่เป็นจริง

    ถ้ายังคงเป็นการผิดปกติ ก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่อบรมเจริญ ที่จะระลึกรู้สภาพธรรมตามปกติจริงๆ

    มีพระภิกษุต่างประเทศรูปหนึ่ง ท่านบวชได้ไม่กี่พรรษา แต่ถ้าทราบประวัติชีวิตของท่าน ก็จะเห็นถึงปัจจัยการสะสม ท่านเคยเป็นผู้จัดรายการโทรทัศน์ที่ประเทศของท่าน มีชีวิตทางโลกอย่างชาวโลกในสมัยใหม่ แต่เพราะการสะสมมา ท่านก็ทิ้งชีวิตอย่างนั้น อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

    ท่านเล่าให้ฟังถึงครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ปรากฏแก่ท่าน เสมือนว่าไม่มีอะไรเลย โลกหายหมด ไม่มีอะไรเหลือ ขณะนั้นเป็นความตกใจ เวลาที่ท่านได้ฟังธรรมเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน และได้พูดถึงเรื่องของนามรูปปริจเฉทญาณ ท่านก็มีความสงสัยข้องใจ ติดใจเหลือเกินว่า ขณะนั้น ที่เคยเกิดกับท่านนั้น เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ใช่ไหม น่าติดใจ น่าสงสัย น่าข้องใจไหม แต่อย่าลืมว่า ตัณหานั้นละเอียดมาก ฉลาดมาก ที่จะชักจูง ชักชวนไปได้ทุกทางที่จะให้เกิดความต้องการ ที่จะให้เกิดความหวังในผล และแม้ว่าจิตของท่านจะน้อมนึกว่า ขณะนั้นเป็นนามรูปปริจเฉทญาณใช่หรือไม่ใช่ แต่สภาพธรรม การคิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ลักษณะของปัญญาที่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่เป็นลักษณะของความสงสัย เป็นลักษณะของความข้องใจ เป็นลักษณะของความติดใจในเหตุการณ์ที่แปลก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับท่าน

    ก็ได้กราบเรียนท่านว่า ไม่สำคัญเลยสำหรับสิ่งที่เกิดมานานแล้ว และหมดไปนานแล้วด้วย ข้อสำคัญที่สุด คือ ขณะนี้ ท่านกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สติระลึก รู้ชัดในสภาพธรรมที่เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีเยื่อใยของการที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนได้เลย และมีปัญญาที่รู้ชัดในสภาพของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ได้ไหม

    ถ้าสติเกิดไม่ได้ ปัญญาไม่ได้รู้ชัดอย่างนี้ ไม่ต้องห่วงถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วเลย เพราะโดยมาก เพียงได้ยินชื่อของวิปัสสนาญาณ ท่านหวังแล้ว ท่านปรารถนาแล้ว ต้องการอะไรกับชื่อ ในเมื่อไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ที่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    และไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดปรากฏ แม้ว่าจะไม่เคยเกิดมาก่อน ทิ้งไปได้ไม่นาน จิตก็หวนน้อมไปที่จะสงสัยอีก ที่จะติดใจอีก ลักษณะอย่างนี้คืออะไร ลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ตรงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่กลับเป็นตัวตนที่ย้อนไปยึดโยงในสภาพธรรมที่เคยปรากฏโดยอาการที่แปลก ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยความสงสัย และด้วยความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น คือ การที่เพียงนึกถึงสภาพที่เคยปรากฏ ที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง และก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การละกิเลสเป็นการยาก เป็นการที่จะต้องอบรมเจริญปัญญาให้รู้จริงในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นเครื่องวัดทันทีถึงสติปัญญาว่า ท่านอบรมมาพอที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมหรือยัง ถ้าสติระลึกไม่ได้ ปัญญาไม่รู้ ก็เป็นสิ่งที่เตือนให้ท่านทราบแล้วว่า จะต้องอบรมต่อไปอีกมากทีเดียว ไม่ใช่นั่งกังวล นั่งห่วงใย นั่งสงสัย หรือว่าใคร่ที่จะได้บรรลุอริยสัจธรรมในเวลาอันรวดเร็ว โดยที่แม้ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า นามธรรม รูปธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้น คืออย่างไร

    ท่านผู้ฟังเคยได้ยินคำว่า กาย ที่เป็นรูปกาย กับนามกายแล้ว ดูเหมือนว่า โดยพยัญชนะจะไม่ยาก

    กาย เป็นที่ประชุมรวมกันของสภาพธรรม เช่น รูปกาย ก็หมายความถึง รูปต่างๆ ที่ประชุมรวมกันอยู่ ที่กายนี้ไม่ใช่มีรูปประเภทเดียว มีรูปมากมายหลายประเภทอยู่ร่วมกัน เกิดร่วมกัน ประชุมกัน รวมกันอยู่ ถ้าจะรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของแต่ละรูปที่ปรากฏ

    แม้ว่ารูปหลายรูปจะประชุมรวมกัน อยู่ร่วมกันก็ตาม แต่ที่จะรู้ชัดว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้น สติจะต้องระลึกรู้ในลักษณะของรูป ทีละรูป ทีละลักษณะ ไม่ใช่รวมๆ กันว่า เป็นรูปกาย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งอย่างนั้นไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    หรือแม้แต่คำว่า นามกาย ก็เหมือนกัน ใช้คำว่า นามกาย แสดงว่ามีนามธรรมหลายชนิด หลายประเภท ประชุมรวมกัน เกิดร่วมกัน การที่จะรู้ว่านามธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็เพราะสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิด

    เช่น การเห็น กับความรู้สึก เป็นนามกาย จะไม่มีนามธรรมที่เกิดมาโดดเดี่ยว โดยลำพัง โดยไม่มีนามธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย หรือจะไม่ใช่ที่ประชุมรวมกันของนามธรรมอื่นๆ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมแต่ละลักษณะ ก็ไม่สามารถที่จะตัดเยื่อใยที่เคยยึดถือนามธรรมเหล่านั้นว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ เช่น ในขณะที่เห็น อาจจะระลึกรู้ในสภาพที่เป็นอาการรู้ ธาตุรู้ อาจจะระลึกรู้บ้าง

    แต่สำหรับลักษณะของเวทนาในวันหนึ่งๆ ที่มีปรากฏอยู่เสมอ บางครั้งเป็นสุขเวทนา บางครั้งเป็นทุกขเวทนา บางครั้งเป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งเป็นโทมนัสเวทนา และส่วนมากทีเดียวเป็นอุเบกขาเวทนา ถ้าสติไม่ระลึกรู้ในลักษณะของเวทนาอย่างนี้ แม้ว่าจะมีความรู้บ้างในนามธรรมที่เป็นจิต แต่ไม่รู้นามอื่นซึ่งประชุมรวมกันอยู่ในที่นั้น การที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวงว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ก็มีไม่ได้

    เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด ซึ่งผู้อบรมเจริญปัญญานั้นเองเป็นผู้ที่รู้ว่า เริ่มรู้เพิ่มขึ้นบ้างไหม ยังไม่ต้องไปถึงขั้นละ เพราะว่าขั้นละนั้น ต้องเป็นปัญญาขั้นสูงทีเดียวที่สามารถจะถึงนิพพิทาหรือวิราคะได้

    จากข้อความใน จิตตหัตถิสารีปุตตสูตร ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะได้อบรมสมถภาวนาจนกระทั่งบรรลุปฐมฌานจิต แต่ถ้าไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพียงการอบรมความสงบของจิตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำให้ละคลายกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เขาย่อมกล่าวว่า เราเป็นผู้ได้ทุติยฌาน (แต่) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ตกลงที่สระใหญ่ใกล้บ้านหรือนิคม พึงยังทั้งหอยกาบและหอยโข่ง ทั้งก้อนกรวดและกระเบื้องให้หายไป ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ หอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด และกระเบื้อง จักไม่ปรากฏในสระโน้นอีก ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ มนุษย์หรือโคและสัตว์เลี้ยง พึงดื่มที่สระแห่งโน้น หรือลมและแดดพึงแผดเผาให้แห้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งหอยกาบและหอยโข่ง ทั้งก้อนกรวดและกระเบื้อง พึงปรากฏได้อีกทีเดียวฉันใด ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    สำหรับในข้อความเรื่องของทุติยฌาน ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าสามารถที่จะเจริญอบรมสมถภาวนาให้ยิ่งขึ้นจากขั้นของปฐมฌานถึงขั้นทุติยฌานก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่การขัดเกลากิเลสด้วยปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จนถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม บุคคลผู้นั้นก็ยังมีกิเลสที่สะสมมา ที่ทำให้โน้มเอียงไปในความพอใจในการคลุกคลีกับบุคคลต่างๆ ซึ่งถ้ากิเลสมีกำลังมากกว่า ผู้นั้นก็ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เขาย่อมกล่าวว่า เราได้ตติยฌาน (แต่) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนอาหารค้างคืน ไม่พึงชอบใจแก่บุรุษผู้บริโภคอาหารประณีต ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้อาหารจักไม่ชอบใจแก่บุรุษชื่อโน้นอีก ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น อาหารอื่นจักไม่ชอบใจแก่บุรุษผู้โน้นผู้บริโภคอาหารประณีต ตลอดเวลาที่โอชารสแห่งอาหารนั้นจักดำรงอยู่ในร่างกายของเขา แต่เมื่อใดโอชารสแห่งอาหารนั้นจักหมดไป เมื่อนั้นอาหารนั้น พึงเป็นที่ชอบใจเขาอีก ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีอุเบกขา เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    ข้อความในสูตรนี้ เปรียบเทียบให้เห็นความสงบยิ่งขึ้นของจิตเป็นขั้นๆ ในขั้นของตติยฌานซึ่งปราศจากปีติ อุปมาเหมือนกับผู้ที่พอใจในการบริโภคอาหารที่ประณีต สงบ ประณีตมาก ขณะนั้นจิตสามารถที่จะดื่มด่ำในความสงบที่เป็นสมถภาวนา ไม่สนใจฝักใฝ่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งเหมือนกับอาหารค้างคืน คือ อาหารที่ไม่ประณีต เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็พอใจตลอดเวลาที่โอชารสแห่งอาหารนั้นดำรงอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อใดโอชารสแห่งอาหารนั้นจักหมดไป เพราะว่าฌานจิตก็ดับ เมื่อนั้น อาหารนั้น คือ อาหารที่ไม่ประณีต พึงเป็นที่ชอบใจเขาอีก

    แสดงให้เห็นถึงความติดอย่างเหนียวแน่นในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งแม้ว่าจะสงบระงับไปด้วยฌานจิต แต่ตราบใดที่ยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท ผู้นั้นก็ย่อมมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะซึ่งไม่ประณีตเท่าตติยฌาน

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 440

    ข้อความต่อไปใน จิตตหัตถิสารีปุตตสูตร มีว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เขากล่าวว่า เราได้จตุตถฌาน (แต่ว่า) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำในที่ไม่ถูกลม ปราศจากคลื่น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้คลื่นจักไม่มีปรากฏที่ห้วงน้ำแห่งโน้นอีก ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ ลมฝนที่แรงกล้าพึงพัดมาจากทิศตะวันออก ก็พึงพัดให้เกิดคลื่นขึ้นที่ห้วงน้ำแห่งนั้น ลมฝนที่แรงกล้าพึงพัดมาจากทิศตะวันตก ... จากทิศเหนือ ... จากทิศใต้ ก็พึงพัดให้เกิดคลื่นขึ้นที่ห้วงน้ำแห่งนั้น ฉันใด ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรลุจตุตตฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เขากล่าวว่า เราได้จตุตถฌาน (แต่ว่า) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    ถ้ายังมีความโน้มเอียงในการคลุกคลีกับมิตรสหาย ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา และกิเลสยังมีกำลังแรง แม้ว่าบุคคลนั้นจะได้อบรมเจริญสมถภาวนาจนกระทั่งถึงจตุตฌาน ก็ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ได้

    ข้อความต่อไปแสดงให้เห็นถึงความเหนียวแน่นของกิเลสจริงๆ เพราะแม้ว่าบุคคลนั้นจะได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ถ้าปัญญายังไม่รู้แจ้งสภาพธรรมจนรู้แจ้งอริยสัจธรรม และกิเลสมีกำลัง ก็ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ เขาย่อมกล่าวว่า เราได้เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต แต่ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์ เมื่อเขาคลุกคลีด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุยอยู่ ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวนแล้ว ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนพระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชา มีจตุรงคเสนาเดินทางไกลไปพักแรมคืนอยู่ที่ป่าทึบแห่งหนึ่ง ในป่าทึบแห่งนั้น เสียงจักจั่นเรไรพึงหายไปเพราะเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงพลเดินเท้า เสียงกึกก้องแห่งกลอง บัณเฑาะว์ สังข์ และพิณ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ ที่ป่าทึบแห่งโน้น เสียงจักจั่นเรไร จักไม่มีปรากฏอีก ผู้นั้นพึงกล่าวโดยชอบหรือหนอ ดูกร อาวุโส ข้อนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ คือ เมื่อใดพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาพ้นไปจากป่าทึบแห่งนั้น เมื่อนั้นเสียงจักจั่นเรไรพึงปรากฏได้อีก ฉันใด ดูกร อาวุโสทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ เขากล่าวว่า เราได้เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตแล้ว แต่ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุยอยู่ ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวนแล้ว ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ฯ

    เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต คือ สมาธิที่เกิดร่วมกับวิปัสสนา ใน ปปัญจสูทนี อรรถกถา จูฬสุญญตสูตร มีข้อความคำอธิบายว่า

    ข้อว่า เจโตสมาธิ ได้แก่ จิตตสมาธิในวิปัสสนา จริงอยู่ ในสมาธินั้น ชื่อว่า ไม่มีนิมิต เพราะเว้นจากนิมิตว่าเที่ยง เป็นต้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    สมัยต่อมา ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ ครั้งนั้น พวกภิกษุผู้เป็นสหายของบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตร ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะถึงที่อยู่ แล้วถามว่า

    ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กำหนดรู้ใจบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรด้วยใจว่า บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ๆ และจักลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ หรือเทวดาทั้งหลายได้แจ้งเนื้อความนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ๆ และจักลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า

    ดูกร อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กำหนดรู้ใจบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรด้วยใจว่า เป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ๆ และจักลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ แม้เทวดาก็บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพเจ้า

    ลำดับนั้น พวกภิกษุผู้เป็นสหายของบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตร ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ๆ และได้ลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ไม่นานนัก บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรจักระลึกถึงคุณแห่งเนกขัมมะได้ ฯ

    ครั้งนั้นไม่นานเท่าไร บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรก็ปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสายะออกบวชเป็นบรรพชิต ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตแน่วแน่ ไม่นานนักก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเทียวเข้าถึงอยู่ ได้ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ก็แหละท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

    จบ สูตรที่ ๖

    จากพระสูตรนี้ ท่านผู้ฟังจะเห็นชีวิตที่อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิต ประจำวัน แม้ว่าท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรจะเป็นพระภิกษุ แต่ในเบื้องต้นท่านยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น กาย วาจาของท่านที่เป็นไปด้วยกำลังของกิเลส เช่น การกล่าวสอดแทรกพระภิกษุที่สนทนาอภิธัมมกถากันก็ย่อมมีได้ และเมื่อท่านลาสิกขาสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็น พระอริยเจ้า ซึ่งท่านอบรมเจริญทั้งสมถภาวนาและสติปัฏฐาน แต่ขณะที่ท่านกำลังอบรมเจริญสมถภาวนาและสติปัฏฐานนั้น อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังมีความโน้มเอียงของกิเลสที่สะสมมา ทำให้ท่านคลุกคลีกับบริษัททั้งหลาย เช่น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น เมื่อมีเหตุมีปัจจัยท่านก็ลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์

    แต่ผลของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่นานเท่าไรท่านก็อุปสมบทเป็นบรรพชิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าท่านได้อบรมเจริญสติปัฏฐานมาในเพศของบรรพชิตเป็นอุปนิสัย และการอบรมเจริญสติปัฏฐานของท่านที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น ไม่เพียงให้ท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ท่านมีอุปนิสัยสะสมมาที่จะบรรลุคุณธรรมถึงขั้นความเป็นพระอรหันต์ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงบำเพ็ญเพียรในเพศของบรรพชิตและได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอรหันต์

    การอบรมเจริญสติปัฏฐานย่อมเป็นไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นกำลังที่สะสมจนกว่าจะถึงกาลที่สมควร ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมขั้นอนาคามีบุคคลในเพศคฤหัสถ์ หรือว่าขั้นอรหันต์ในเพศของบรรพชิต ซึ่งทุกท่านรู้จักตัวของท่านเองดีกว่าผู้อื่นว่า ชีวิตจริงของท่านเป็นอย่างไร และท่านควรเจริญสติปัฏฐานอบรมปัญญาตามความเป็นจริงที่ได้สะสมมาจริงๆ ในเพศใด

    เพราะฉะนั้น การเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น ที่จะทำให้รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ได้สะสมมา จนถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ถ้ามีการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนในข้อปฏิบัติ ไม่ตรงต่อสภาพธรรมที่ท่านได้สะสมมาตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 441


    หมายเลข 13342
    5 มี.ค. 2568