ต้องอาศัยการฟังธรรมให้เข้าใจก่อน


    ดิฉันเป็นสหายธรรม คือ เป็นผู้อัญเชิญพระธรรมมาให้สหายธรรมอื่นๆ ได้ฟัง ได้พิจารณา ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นพระธรรมเท่านั้นที่จะช่วยให้ คนที่ศึกษาได้พิจารณาให้เข้าใจถูกต้องว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมต่างกับศาสดาอื่น เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงรู้แจ้ง แทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง

    ถ้าอ่านตำรับตำราอื่น ก็จะพบวิธีต่างๆ ที่จะควบคุมจิตใจ หรือพยายามหาทางที่จะระงับจิตใจ พยายามให้จิตอยู่ในอำนาจ เช่น ให้สติขึ้นมา ให้โทสะลงไป แต่ พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงธรรมอย่างนี้ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีธรรมฝ่ายไม่ดีคืออกุศล และมีธรรมฝ่ายงามที่เป็นกุศล แต่ทั้งธรรม ฝ่ายไม่ดี และธรรมฝ่ายงามทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้น ไม่มีใครมีอำนาจที่จะบอกว่า ให้กุศลเกิดมากๆ และให้อกุศลหายไป ให้หมด แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง เพราะทุกคนที่เกิดมา ถ้าไม่มีกิเลส ไม่เกิด ต้องมีกิเลสจึงเกิด

    แม้พระผู้มีพระภาคก่อนที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กิเลสทั้งหมดของพระองค์ก็ไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท แต่เมื่อได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปพร้อมที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในยามเย็นวันรุ่งขึ้นที่จะทรงตรัสรู้ พระองค์ได้ก้าวพระบาทมาประทับที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยสภาพของความเป็นปุถุชน ไม่ใช่แม้พระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะเป็นสาวก แต่เพื่อที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณที่จะทรงแสดงธรรม เพื่อให้สัตว์โลกได้ฟังพระธรรม ได้อบรม เจริญกุศลทุกประการ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และดับกิเลสด้วยตนเองตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ขอให้เราน้อมระลึกถึงสถานที่นี้ เมื่อเสด็จมาประทับด้วยความเป็นปุถุชน แต่ในวันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณขึ้นทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ด้วยความปรารถนาว่า ให้กิเลสลงไป ให้สติขึ้นมา แต่ได้อบรมเจริญกุศลบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป โดยบารมีอื่นๆ เป็นบริวารของ ปัญญาบารมี

    ทุกท่านฟังพระธรรมเพื่ออะไร ต้องรู้จุดประสงค์ว่าเพื่ออะไร ก็เพื่อปัญญา ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จะไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลยที่จะคิด ที่จะรู้ ที่จะเข้าใจธรรมได้ตามความเป็นจริง

    ก่อนฟังพระธรรม โลกของแต่ละคนเป็นโลกที่มืดด้วยอวิชชาไม่สามารถรู้ว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างไร และที่เราเคยคิดเคยเข้าใจนั้นเป็นเรื่องราวของ สภาพธรรมทั้งนั้น เป็นสมมติ เป็นบัญญัติ เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ ตามความเป็นจริงแล้ว เพราะมีจิต เจตสิก รูป จึงมีการยึดถือว่าเป็นเราที่กำลังเห็น ที่กำลังนั่ง ที่กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครบังคับธรรมใดๆ ได้เลย

    ต้องอาศัยการฟังธรรมให้เข้าใจก่อน ปัญญาจึงจะกระทำกิจของปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด ไม่มีทางที่ใครจะดับกิเลสได้เลย อาจจะเข้าใจผิดคิดว่ากิเลสน้อยลง เพราะพยายามระงับ พยายามบังคับ และถ้าบังคับได้ชั่วครั้งชั่วคราว ก็คิดว่า เก่งมาก ดีมาก แต่ไม่สามารถละความยึดถือความเป็นตัวตนได้

    ก่อนที่กิเลสอื่นๆ จะดับหรือละคลายลงไปได้ ต้องดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลเสียก่อน เพราะฉะนั้น ต้องรำลึกถึงพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมให้เราได้ศึกษา ซึ่งเราก็จะได้ศึกษา และน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่จะเป็นไปได้ตามกำลังของปัญญา


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2014


    หมายเลข 13286
    27 พ.ย. 2567