ความต่างกันของพระพุทธรัตนะและพระสังฆรัตนะ
สำหรับความต่างกันของพระพุทธรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ซึ่งเป็นผู้ที่หมดจดจากกิเลส คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดา ทรงเป็นผู้ชี้หนทางให้บุคคลอื่นประพฤติปฏิบัติตาม
ใน สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณากส์ พุทธสูตร มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความต่างกันของพระองค์กับพระสงฆ์สาวกว่า
พระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลุดพ้นเพราะหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เทวดา และมนุษย์ต่างพากันเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา หลุดพ้นแล้วเพราะหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เราเรียกว่า ผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้นจะมีอะไรเป็นข้อแปลกกัน จะมีอะไรเป็นข้อประสงค์ที่ยิ่งกว่ากัน จะมีอะไรเป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน เป็นแบบฉบับ เป็นที่อิงอาศัย ขอประทานพระวโรกาส ขออรรถแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคทีเดียวเถิด ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคที่ใครๆ ไม่รู้จัก บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก เป็นผู้รู้จักทาง ประกาศทางให้ปรากฏ ฉลาดในทาง ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็สาวกทั้งหลายในบัดนี้ เป็นผู้ที่ดำเนินไปตามทาง เป็นผู้ตามมาในภายหลัง อันนี้แลเป็นข้อแปลกกัน อันนี้เป็นข้อประสงค์ยิ่งกว่ากัน อันนี้เป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
จบ สูตรที่ ๖
ข้อความในพระสูตรนี้สั้น คงจะยังไม่สามารถทำให้เห็นความต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสาวก ซึ่งท่านผู้ฟังจะได้ทราบความละเอียดในพระไตรปิฎกบ้าง และในอรรถกถาบ้าง ที่แสดงถึงพระคุณที่ต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ
ใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ได้อุปมาลักษณะของพระรัตนตรัย มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาค คือ พระพุทธรัตนะ เปรียบดุจพระจันทร์เพ็ญ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เปรียบดุจข่ายรัศมีแห่งพระจันทร์เพ็ญ พระสงฆ์เปรียบด้วยพื้นโลกที่มีความเร่าร้อน อันรัศมีแห่งพระจันทร์เพ็ญสาดส่องแล้ว คือ หมายถึงผู้ที่มีความเร่าร้อนอันสงบแล้วเพราะรัศมีแห่งพระจันทร์เพ็ญ
ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะไม่เข้าใจลักษณะของความเร่าร้อนว่าคือ ทุกๆ ขณะที่เกิดจากกิเลส และการยึดถือสภาพธรรมเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน อบรมเจริญปัญญา เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่เปรียบด้วยพื้นโลกที่มีความเร่าร้อน อันรัศมีแห่งพระจันทร์เพ็ญสาดส่องแล้ว เพราะว่าเป็นผู้ที่ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
พระผู้มีพระภาคเปรียบด้วยพระอาทิตย์อ่อน พระธรรมซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว เปรียบด้วยข่ายรัศมีแห่งพระอาทิตย์อ่อนนั้น พระสงฆ์เปรียบดุจโลกที่มีความมืดมน อันพระอาทิตย์อ่อนนั้นขจัดแล้ว
ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงเปรียบด้วยพระอาทิตย์อ่อน เพราะถ้าเป็นพระอาทิตย์ซึ่งแรงกล้า ก็ย่อมจะเผาไหม้ ร้อน มีอันตราย แต่เมื่อเป็นพระอาทิตย์ที่อ่อน ก็ไม่ทำอันตรายเช่นนั้น
พระผู้มีพระภาคเปรียบด้วยบุรุษเผาป่า พระธรรมซึ่งเผาป่าคือกิเลส เปรียบดุจไฟไหม้ป่า พระสงฆ์เปรียบดุจภูมิภาคอันเป็นที่นาเพราะมีป่าอันไฟไหม้แล้ว และชื่อว่าเป็นบุญเขตเพราะท่านเผากิเลสได้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจมหาเมฆ พระธรรมเปรียบดุจน้ำฝน พระสงฆ์ซึ่งมีเรณูคือกิเลสสงบระงับแล้ว เปรียบดุจชนบทที่มีละอองคือฝุ่นอันสงบแล้วเพราะฝนตกลงมา
พระผู้มีพระภาคเปรียบเหมือนนายสารถีผู้ฉลาด พระธรรมเปรียบดุจอุบายฝึกม้าอาชาไนย พระสงฆ์เปรียบดุจม้าอาชาไนยที่ได้รับการฝึกฝนดีแล้ว
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้ถอนลูกศร เพราะทรงถอนลูกศรคือทิฏฐิทั้งหมดขึ้นได้ พระธรรมเปรียบดุจอุบายเครื่องถอนลูกศร พระสงฆ์คือผู้ถอนลูกศรคือทิฏฐิได้แล้ว เปรียบเหมือนคนที่มีลูกศรอันถอนขึ้นแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้ถอนลูกศร เพราะถอนคือลอกฝ้าในดวงตาคือโมหะขึ้นเสียได้ พระธรรมเปรียบดุจอุบายที่เป็นเครื่องลอกฝ้า พระสงฆ์ คือผู้ลอกฝ้าคือโมหะได้แล้ว และผู้มีนัยน์ตาคือญาณอันแจ่มใส เปรียบดุจคนที่มีนัยน์ตาอันแจ่มใสเพราะลอกฝ้าออกเสียแล้ว [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 786]
พระผู้มีพระภาคเปรียบด้วยนายแพทย์ผู้ฉลาด เพราะสามารถนำออกซึ่งตัวพยาธิคืออนุสัยกิเลส พระธรรมเปรียบดุจยาที่ผสมดีแล้ว พระสงฆ์ผู้มีอนุสัยคือพยาธิอันเป็นตัวกิเลสสงบดีแล้ว เปรียบดุจหมู่ชนซึ่งมีโรคอันสงบแล้วเพราะการใช้ยา
พระผู้มีพระภาคเปรียบเหมือนผู้ชี้ทางที่ฉลาด พระธรรมเปรียบเหมือนทางอันดี และเปรียบดุจภูมิภาคอันเกษม พระสงฆ์เปรียบดุจหมู่ชนผู้ไปถึงภูมิภาคอันเกษม
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจนายเรือผู้ฉลาด พระธรรมเปรียบดุจเรือ พระสงฆ์ซึ่งเป็นคนเดินทางเปรียบดุจผู้ถึงฝั่งแล้วเพราะอาศัยเรือนั้น
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจหิมวันตประเทศ พระธรรมเปรียบตัวยาที่เกิดขึ้นที่ หิมวันตประเทศนั้น พระสงฆ์เปรียบดุจคนที่หายโรคเพราะบริโภคยา
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจคนให้ทรัพย์ พระธรรมเปรียบดุจทรัพย์ พระสงฆ์ซึ่งได้อริยทรัพย์มาโดยชอบ เปรียบดุจคนที่ได้ทรัพย์ตามความประสงค์
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้ชี้ขุมทรัพย์ พระธรรมเปรียบดุจขุมทรัพย์ พระสงฆ์เปรียบดุจคนที่ถึงขุมทรัพย์แล้ว
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจบุรุษผู้ฉลาดซึ่งให้ความไม่มีภัย พระธรรมเปรียบดุจความไม่มีภัย พระสงฆ์ผู้ถึงความไม่มีภัยโดยส่วนเดียวแล้ว เปรียบดุจคนที่มีความไม่มีภัยแล้ว
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้บอกความสบายใจคือโปร่งใจ พระธรรมเปรียบดุจความโปร่งใจ พระสงฆ์เปรียบดุจคนที่มีความโปร่งใจ
พระผู้มีพระภาคเปรียบเหมือนมิตรดี พระธรรมเปรียบเหมือนอุบายเครื่องแนะนำที่มีประโยชน์ พระสงฆ์เปรียบดุจชนที่ได้รับประโยชน์ของตนแล้วเพราะการดำเนินตามอุบายที่มีประโยชน์
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจบ่อเกิดแห่งรัตนะ พระธรรมเปรียบดุจรัตนะอันมีแก่น
สาร พระสงฆ์เปรียบดุจคนที่ใช้สอยรัตนะอันมีแก่นสาร
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้ให้พระราชกุมารสรงน้ำ พระธรรมเปรียบดุจน้ำอาบที่สะอาด พระสงฆ์เปรียบดุจผู้ได้อาบน้ำคือพระสัทธรรมแล้ว ดุจหมู่แห่งพระราชกุมารผู้สรงน้ำแล้ว
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจผู้ทำเครื่องประดับ พระธรรมเปรียบดุจเครื่องประดับ พระสงฆ์ผู้ประดับประดาแล้วด้วยพระสัทธรรม เปรียบดุจหมู่แห่งพระราชกุมารผู้ทรงประดับประดาแล้ว
พระผู้มีพระภาคเปรียบด้วยต้นจันทน์หอม พระธรรมเปรียบด้วยแก่นจันทน์ที่เกิดจากต้นจันทน์หอมนั้น พระสงฆ์ผู้ระงับความกระวนกระวายได้โดยส่วนเดียว เพราะการนำพระสัทธรรมมาปฏิบัติ เปรียบดุจคนที่ระงับความกระวนกระวายได้แล้ว เพราะใช้จันทน์หอม
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจบิดาผู้ประทานมรดกคือพระธรรม พระธรรมเปรียบดุจมรดก พระสงฆ์ผู้ควรแก่มรดกคือพระสัทธรรม เปรียบดุจหมู่แห่งบุตรผู้ควรแก่มรดก
พระผู้มีพระภาคเปรียบดุจดอกปทุมที่แย้มบาน พระธรรมเปรียบดุจน้ำหวานที่เกิดในดอกปทุมนั้น พระสงฆ์เปรียบดุจหมู่ผึ้งผู้บริโภคน้ำหวานนั้น
ก็บัณฑิตพึงประกาศพระรัตนตรัยนี้ ด้วยอุปมาทั้งหลาย ดังพรรณนามาฉะนี้ ดังนี้แล
การที่กล่าวถึงพระคุณต่างๆ ของพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ ก็เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้น้อมระลึกถึงความประเสริฐของพระรัตนตรัย และจิตสงบ ปราศจากอกุศลในขณะนั้น เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญกุศลนั้น มีทั้งขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถะ คือ ความสงบ และขั้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเป็นวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น สมถะไม่ใช่ขณะอื่น แต่คือทุกๆ ขณะที่จิตสงบได้ เวลาที่ฟัง พระธรรมอาจจะไม่ได้สังเกตพิจารณาลักษณะสภาพของจิตว่า สงบหรือไม่สงบ ปราโมทย์หรือไม่ปราโมทย์ ปีติหรือไม่ปีติ แต่ถ้าสติเกิด สามารถที่จะรู้ลักษณะของความสงบของจิต ซึ่งขณะนั้นปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ และอกุศลอื่นๆ เพราะฉะนั้น การฟังธรรม หรือว่าการสวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ซึ่งประพฤติปฏิบัติกันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็ควรที่จะให้มีปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้จิตสงบขึ้น โดยเข้าถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค พระคุณของพระธรรม และพระคุณของพระสงฆ์ด้วย
และเมื่อเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปัญญาจะสามารถแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริง ประจักษ์ในพระคุณทั้ง ๓ ยิ่งขึ้น เพราะขณะใดที่เข้าใจธรรม ก็รู้ในลักษณะสภาพความไม่เป็นภัยของธรรม ความโปร่งใจ ความสงบที่เกิดจากการเข้าใจธรรม และเห็นคุณของพระผู้มีพระภาคผู้ประทานพระธรรมเป็นมรดกแก่สาวกของพระองค์ด้วย
เพราะฉะนั้น การกล่าวถึงพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ก็เพื่อเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้เกิดความสงบยิ่งขึ้นในขณะที่ฟังธรรม หรือว่าสวดมนต์ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย
พระคุณของพระผู้มีพระภาคนั้น มีปรากฏทั่วไปในพระไตรปิฎกและในอรรถกถา ซึ่งผู้ที่เข้าใจในพระคุณนั้นแล้ว จะสรรเสริญพระคุณโดยอเนกปริยายเป็นอันมาก ไม่สามารถที่จะจบหรือสิ้นสุดลงได้ และมีการอุปมาพระคุณของพระผู้มีพระภาคโดยประการต่างๆ เช่น ครั้งหนึ่งท่านพระรักขิตเถระได้กล่าวถึงพระธรรม และสรรเสริญคุณของพระผู้มีพระภาคตลอดราตรีหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งได้เสด็จไปสู่สถานที่ที่พระเถระกำลังแสดงธรรมและสรรเสริญคุณของพระผู้มีพระภาค เมื่อหมดเวลาแสดงธรรมแล้ว พระราชาพระองค์นั้นได้ตรัสถามถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่ท่านพระเถระแสดงว่า มีเพียงเท่านั้นหรือ หรือว่าจะมีโดยกระการอื่นๆ อีกซึ่งพระเถระรูปนั้นก็ได้กล่าวถึงพระคุณโดยการอุปมาว่า พระคุณทั้งหลายที่สาวกทั้งหลายสรรเสริญพระผู้มีพระภาคนั้น อุปมาเหมือนน้ำที่ลอดในช่องเข็มที่จุ่มในมหาสมุทร ส่วนพระคุณที่ไม่ได้กล่าวถึงหรือไม่ได้แสดงนั้น อุปมาเหมือนส่วนของน้ำในมหาสมุทรที่ไม่ได้ลอดช่องเข็มนั้น
เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเทียบกันได้ว่า ไม่ว่าจะมีการพรรณนาพระคุณของพระผู้มีพระภาคมากสักเท่าไรก็ตาม ก็ยังเป็นส่วนน้อยของพระคุณของพระองค์ หรืออุปมาเหมือนนกเล็กๆ ซึ่งบินไปในอากาศ ส่วนของปีกของนกเล็กๆ ที่ถูกต้องอากาศนั้น เท่ากับส่วนที่บุคคลทั้งหลายสรรเสริญพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย อุปมาเหมือนส่วนของอากาศที่ไม่ได้ถูกปีกของนกเล็กๆ กระทบ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 787]
