ยิ่งฟังยิ่งรู้ในความเป็นอนัตตา


        ผู้ฟัง เราอยู่ในโลกคนเดียวจริงๆ หรือเปล่าครับ

        สุ. เราเถียงพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

        ผู้ฟัง เปล่าครับ

        สุ. ไม่เถียงนะคะ

        ผู้ฟัง แต่สภาพความเป็นจริง

        สุ. ความเป็นจริง คือ จิตมี เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้วจะเป็นอะไรได้ไหม เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำกิจตามประเภทของจิตนั้นๆ ด้วย ไม่มีใครไปบอกจิตให้ทำกิจนี้ อย่าทำกิจนั้น มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นธรรม ต้องไม่ลืมว่า สำหรับจะตัดสิน แต่สำหรับเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะ เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาถาม อย่างวันก่อนก็ถามเรื่องหมอไม่รักษา เพราะว่าคนไข้อยากจะตาย ก็เป็นเรื่องซึ่งคิดทั้งหมด และไม่รู้ด้วยว่า ขณะนั้นเป็นเพียงแค่คิด แต่มีเรื่องราวมาจากไหน หมอก็ไม่ได้มีตรงนั้นสักหน่อย ก็อุตส่าห์ไปคิดถึงหมอ และคนไข้กำลังป่วยหนัก และจะทำอย่างไรดี

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องราวเพราะความไม่รู้ความจริง ความจริงก็คือว่า มีจิตแน่นอน ขณะที่กล่าวว่ามีจิตแน่นอน เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏ และมีสภาพที่กำลังเห็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เองที่กำลังเห็น ฟังจนกว่าจะเข้าใจ ไม่ต้องหลีกเลี่ยงไปไหนเลย กำลังเห็นอย่างนี้ และมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างนี้ เริ่มเห็นถูกในขั้นฟังว่า จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ไม่ใช่จิตได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นเพราะจิตเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรม

        กว่าจะรู้จริงๆ ลองคิดดูสำหรับแต่ละคนที่นี่ ยากหรือง่าย รู้เพียงแค่นี้ ไม่ต้องมากมาย เพียงแค่ขณะนี้เป็นธาตุที่เกิดขึ้นทำกิจนี้ สภาพที่กำลังปรากฏนี้จึงปรากฏได้ ความรู้แค่นี้ยังตั้งนานกว่าจะรู้ได้ และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงรู้เพียงเท่านี้

        เพราะฉะนั้นพระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ก็ต่างกันมา เป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมที่รู้ยากมาก ฟังสักเท่าไรก็ตาม ก็เริ่มสะสม เป็นความจำ ในเรื่องสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง แต่ว่าจำไว้นานแค่ไหน พอลุกขึ้นก็หมดแล้ว ใช่ไหมคะ เป็นเรื่องอื่นไปแล้ว

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะสะสมความจำที่มั่นคง ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง แม้ในขั้นฟัง ตรงกับลักษณะของสภาพธรรม เข้าใจตรงกับลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้ ผู้นั้นเป็นผู้ที่รู้ว่า เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าเป็นอนัตตา ทิ้งคำหนึ่งคำใดที่เป็นคำจริงไม่ได้เลย จะไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะไปฝืน ไปบังคับให้เกิดสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ยิ่งฟังยิ่งรู้ในความเป็นอนัตตา

        เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียว เมื่อยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็คืออดทน รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง รู้ว่าปัญญาเริ่มเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงกาลที่สามารถจะรู้จริงอย่างนั้นได้ แต่ให้ทราบว่า สิ่งที่จริง ใครเป็นผู้ตรัสรู้ และทรงแสดง ขณะนี้ไม่มีใครเห็นจิต ๑ ขณะที่เกิดดับ และจะคิดว่าไม่มีจิต หรือว่ามีจิต แต่ไม่เกิดดับ ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะคิด แต่เมื่อจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ จะมีอะไรปรากฏไหมคะ ตามคำถามที่ว่า “อยู่คนเดียวหรือเปล่า”

        จิต ๑ ขณะเกิดขึ้น มีใครหรือเปล่า อย่างจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แค่เห็น ทำกิจเห็น ลองคิดถึงแตกย่อยขณะในชีวิตออกมาเป็นเสี้ยวขณะที่เล็กน้อยที่สุด สั้นที่สุด เพียงชั่วขณะที่เห็น เป็นเราหรือเปล่า และสิ่งที่ปรากฏเป็นใครหรือเปล่า

        เพราะฉะนั้นอยู่คนเดียวหรืออยู่หลายคน ยากไหมคะที่จะรู้ว่า ตามความเป็นจริง แน่นอน คือ จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าอาจหาญ ร่าเริง ก็คือสามารถสละความยึดมั่นในความเป็นเรา

        รักใครที่สุด ตอบตรงกันหมดเลยว่า รักตัวเองที่สุด เป็นคำพูดซึ่งยังไม่ได้ประจักษ์ตามความเป็นจริง ที่ว่ารักตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวเลย ก็เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีความคิดนึกตามสิ่งที่ปรากฏ มีความทรงจำเป็นอัตตสัญญา มั่นคง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่ๆ กำลังนั่งอยู่นี่ คนทั้งนั้นเลย โต๊ะทั้งนั้น เก้าอี้ทั้งนั้น ทุกอย่างทั้งนั้น

        เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงการอยู่ผู้เดียว และผู้เดียวนั้นก็คือไม่ใช่เราด้วย เป็นแต่เพียงขณะจิตหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาจหาญร่าเริงไหมคะที่จะรู้ว่า ในที่สุดก็คือว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่มี และรักใครที่สุด ยอมสละความรักนั้นไหมคะ ที่ว่า ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพธรรม นี่แน่นอน และเกิดแล้วดับไปด้วย

        ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้กล้า ผู้อาจหาญที่จะรู้ความจริง ถ้ายังไม่ใช่เป็นผู้ที่ใคร่ต่อการรู้ความจริง ก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่กับคนตั้งเยอะแยะ แล้วจะมาบอกว่า อยู่คนเดียว แต่ว่าความจริงแท้ กว่าจะได้ประจักษ์แจ้ง กว่าจะมีผู้ที่ตรัสรู้ และทรงแสดง ต้องการความจริงหรือเปล่า เท่านั้นเอง ถ้าไม่ต้องการความจริง ง่ายมากเลยค่ะ โลภะก็พาไปได้ทุกแห่ง อยากได้อะไรก็ทำตาม แม้แต่อยากได้ปัญญา โดยที่ไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ก็ยังอยากได้ อยากได้นิพพาน ก็โดยไม่รู้อีกว่า นิพพานคืออะไร ก็อยากได้ อยากได้ไปหมดเลย นั่นคือไม่รู้ความจริง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 329


    หมายเลข 12385
    23 ม.ค. 2567