ความมั่นคงของความเข้าใจต้องมี มิฉะนั้นก็ไม่ถึง


        เพราะว่าชีวิตดำเนินไปแต่ละขณะ แล้วแต่ละขณะกำลังสะสม ไม่ใช่เรามุ่งต้องการตั้งใจ แต่ว่าสภาพธรรมแม้แต่การได้ฟัง แล้วก็เข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” จะทำให้เรามีความมั่นคงที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะไปทำ หรือเร่งรัด หรืออะไรเลย ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด เราหรือเปล่า ก็ฟังมาแล้ว ลืมไปว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้

        เพราะฉะนั้นแสดงว่า เราเข้าใจมั่นคงหรือเปล่า ความมั่นคงของความเข้าใจต้องมี มิฉะนั้นก็ไม่ถึง ก็จะทำให้เราเป๋ไปเป๋มา หลงไปหลงมา เดี๋ยวไปทางนั้น เดี๋ยวมาทางนี้ โดยที่ไม่มีความมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วถ้าเป็นปัญญาที่จะรู้ความจริง ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่สามารถรู้ได้ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ขณะนี้ ถ้าปัญญาจะเกิดขึ้นรู้ ประจักษ์แจ้ง ก็คือประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

        เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังด้วยความเข้าใจที่มั่นคง เช่น ปรมัตถธรรม มี จิต เจตสิก รูป ในชีวิตประจำวัน และรูปที่ปรากฏได้ก็มี ๗ รูปในชีวิตประจำวัน ไม่เกินกว่านี้เลย คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ เห็นทุกวัน เสียงที่ปรากฏทางหู ๑ ก็กำลังได้ยิน กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย มี ๓ ลักษณะ เป็น ๓ รูป รวมเป็น ๗ รูป คือ รูปที่เย็นหรือร้อน ๑ เป็นธาตุไฟ อ่อนหรือแข็ง ๑ เป็นธาตุดิน ตึงหรือไหว ๑ เป็นธาตุลม แม้ว่ามหาภูตรูปมี ๔ แต่รูปที่ไม่ปรากฏ คือ อาโปธาตุไม่ปรากฏทางกาย เพราะว่ากระทบเมื่อไร ก็พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรปรากฏ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เท่านั้นเองที่ปรากฏ

        เพราะฉะนั้นก็จะต้องเป็นผู้ตรงตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้มี แต่ลักษณะของหลงลืมสติเป็นประจำ จนกว่าเมื่อไรสติสัมปชัญญะเกิด ไม่ลืม ฟังจนกระทั่งรู้ว่าเป็นธรรม ฟังจนกระทั่งสังขารขันธ์ในขณะนี้ ไม่ใช่เรา ปรุงแต่งจนถึงกาลที่สติเกิดเมื่อไร จะเข้าใจคำว่า “สังขารขันธ์” ไม่ใช่เราพยายามๆ จะน้อม พยายามคิด พยายามอยู่ตรงนั้น ตั้งกฎเกณฑ์ตรงนี้ นั่นไม่ใช่เลย และถ้าไปทำอะไรที่ผิดระหว่างนั้นไม่มีผลเลย คือ ไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าเมื่อไรที่ไม่มีความเห็นผิด ไม่มีการปฏิบัติผิด มีความมั่นคงว่า สติปัฏฐาน คือ ยังไม่ทันที่จะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ลักษณะนั้นมี แต่จะห้ามไม่ได้เลย ใครจะไปห้ามกระแสของจิตที่เกิดดับสืบต่อ พอเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่ต้องห้าม หรือไม่ใช่ต้องไปพยายามห้าม เพียงแต่เมื่อฟังแล้ว ระลึกได้ ในขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นธรรม

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 261


    หมายเลข 11997
    23 ม.ค. 2567