เจ็บที่เป็นเรา จะวุ่นวาย จะเดือดร้อน


        ผู้ถาม ฟังอย่างนี้ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าโมหะเกิดตลอดเวลาจริงๆ ความสงสัยในชื่อ ความสงสัยในคำยังเกิดขึ้นได้ แล้วขณะความฟุ้งซ่าน ขณะฟังจิตยังแว็บไปแว็บมาเกิดคิดสิ่งอื่น แทนที่จะตั้งใจฟัง อันนี้คือสภาพที่เกิดขึ้นจริงๆ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเราไม่เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมอย่างเช่น โลภะ (ความติดข้อง) หรือว่าโทสะ (ความไม่พอใจ, ความขุ่นเคืองใจ) เหล่านี้นั้นคือสิ่งสำคัญ

        สุ. แต่ถ้ามีชื่อแล้วเราเข้าใจความหมายของชื่อ นั่นก็ถูกต้อง เข้าใจความหมาย ไม่ใช่เพียงแต่จำ แล้วก็นี่ชื่ออะไร นั่นชื่ออะไร ไม่ต้องไปเรียกชื่อถ้าเข้าใจ

        ผู้ถาม วทนาที่เกิดทางกาย ต้องหลังจากที่กายวิญญาณกระทบกับธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ใช่ไหมคะ

        สุ. เพราะว่าถ้าไม่มีกายปสาท ธาตุเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรที่จะกระทบได้

        ผู้ถาม ถ้าเกิดว่าไม่ได้ระลึกสภาพที่ปรากฏทางกาย แต่ระลึกเวทนาที่ปรากฏอย่างปวดท้อง

        สุ. เรารู้ว่าเป็นลักษณะของเวทนาทางกายนี่คือจำ แต่ขณะที่เวทนากำลังปรากฏ คิดอะไรหรือเปล่า กำลังมีเวทนาปรากฏเฉพาะเวทนาปรากฏ ขณะนั้นคิดอะไรหรือเปล่า ขณะนี้คิดยาว แต่ขณะที่กำลังมีความเจ็บปรากฏ ลักษณะที่เจ็บกำลังปรากฏ ขณะนั้นคิดอะไรหรือเปล่า คิดอย่างเดียวนี้หรือเปล่า ไม่คิด แต่ว่ามีลักษณะนั้นปรากฏแล้วโดยหลงลืมสติหรือสติสัมปชัญญะเกิด สภาพของกายวิญญาณเป็นสภาพที่ต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ขณะนั้นถ้าเป็นทุกขเวทนาก็เป็นผลของอกุศลกรรม มีสภาพความรู้สึกที่เจ็บซึ่งเป็นอินทรีย์หนึ่ง ซึ่งเวทนาทั้ง ๕ เป็นอินทรีย์ เพราะเหตุว่าเป็นใหญ่จริงๆ ทุกคนจะรู้ลักษณะนั้นซึ่งเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ทั้งวันหรือว่าเป็นทุกข์ใหญ่โต ถ้าเป็นสุขก็เป็นสุขครอบงำสภาพธรรมอื่น ถ้าเป็นอุเบกขาขณะนั้นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ก็เป็นเวทนาซึ่งแต่ละคนก็ยึดถือมีอุปาทานยึดมั่นในความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้น ขณะที่ลักษณะเจ็บปรากฏจริงๆ กับกายวิญญาณ เฉพาะกายวิญญาณเท่านั้นที่กำลังรู้สภาพอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว กายวิญญาณจะรู้เจ็บได้ไหม ไม่ได้ นี่คือความละเอียดที่ต้องแยกแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่เจ็บปรากฏ เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ขณะนั้นคิดอะไรหรือเปล่า หรือว่าถ้าเป็นสติสัมปชัญญะจะไม่ผิดปกติเลยเพียงรู้ตรงลักษณะนั้น และรู้ว่าขณะนั้นเป็นสติที่กำลังรู้ คือปกติธรรมดา เจ็บนั้นจะเป็นเรา จะวุ่นวาย จะเดือดร้อน จะมีความคิดด้วยความเป็นเราต่อไป แต่ขณะนั้นแม้ว่าจะสั้นมาก เล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ตามคือเกิดสติรู้ตรงนั้น ถ้าไม่ใช่คำว่าระลึกซึ่งอาจจะยาวไป ก็กำลังรู้ตรงลักษณะนั้นต่อจากกายวิญญาณที่รู้แข็ง หรือต่อจากสภาพธรรมที่ความเจ็บกำลังปรากฏ

        ผู้ถาม รู้ความเจ็บ แต่ไม่รู้สิ่งที่กระทบกายวิญญาณ

        สุ. ทำไมต้องไปรู้นั่นคือคิดไม่ใช่หรือ ในเมื่อเจ็บปรากฏจะให้รู้อะไร มีลักษณะของเจ็บที่ควรจะต้องรู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่สุข ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่แข็ง แต่เป็นอีกลักษณะหนึ่งซึ่งสติสามารถที่จะรู้ลักษณะนั้นได้ และปัญญาก็เข้าใจความเป็นจริงของลักษณะนั้นคือเป็นลักษณะเจ็บ

        ผู้ถาม สติจะระลึกรู้เฉพาะสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ไม่จำเป็นต้องทั้งสติก็สามารถจะเกิดรู้ลักษณะที่ตึง

        ผู้ถามแต่ก็เป็นคนละขณะกับเจ็บ

        สุ. แน่นอน ขณะนี้ที่เห็นคนละขณะกับได้ยิน คนละขณะกับคิดนึก คนละขณะกับกระทบแข็ง

        ผู้ถาม ขณะนี้มีเห็น ก่อนจะกล่าวว่าเห็นจะต้องมีลักษณะหนึ่งซึ่งยังไม่มีชื่อหรือว่าตั้งชื่อหรือว่าใส่ชื่อ เห็นขณะที่กล่าวว่าเห็น ก็เลยลักษณะที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าอย่างนั้นลักษณะนี้เราก็สามารถรู้ได้เฉพาะลักษณะในชีวิตประจำวันที่ปรากฏได้เท่านั้นใช่ไหม

        สุ. ถูกต้อง เพราะว่าสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดจึงได้ปรากฏ และเกิดแล้วก็ดับเร็วมากด้วย ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และไม่คิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะเกิดแล้ว

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 197


    หมายเลข 10488
    25 ม.ค. 2567