รู้สิ่งที่มีจริง


    ผู้ฟัง ข้อที่ ๒ ฟังเมื่อตอนเช้า ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าจะไปละกิเลส โดยไม่รู้อะไรเลย คำว่า ไม่รู้อะไรเลย ไม่ทราบว่าจะต้องศึกษาอะไรบ้าง ถึงจะรู้ว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ รู้สิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะไหน ต้องทราบอีก ในขณะที่ปรากฏ สิ่งที่ดับไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่มาถึง ก็ไม่สามารถที่จะแสดงลักษณะ ความจริงของสิ่งนั้นได้ เพราะว่ายังไม่ได้เกิด ใครจะไปรู้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิด ไม่ได้ แต่สิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว จึงได้เกิดปรากฏในขณะนี้ แต่ว่าความจริงของสิ่งที่เกิดปรากฏ ดับเร็วมาก แต่ว่าเกิดสืบต่อกัน จนไม่ปรากฏการดับ

    เพราะฉะนั้นจึงมีการเปรียบเทียบ ว่า จิต เหมือนกับนายมายากล สามารถที่จะทำให้มองเห็นเป็นสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ก็คือ เป็นสิ่งที่เพียงเกิดชั่วขณะที่แสนสั้นแล้วดับ ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตา และจิตเห็น ทั้งเสียงที่กำลังปรากฏทางหู และจิตได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ทั้งสองอย่าง เกิดดับเร็วมาก แต่ว่ารูปธรรม มีอายุมากกว่าจิต ยาวกว่าจิต คือว่า รูปที่เกิดจะดับ เมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ขณะจิตนี่เร็วมาก ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับอะไรได้เลย เพราะขณะนี้จิตเห็น คนละขณะกับจิตได้ยิน แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็เสมือนว่าเกิดพร้อมกัน ไม่มีใครสามารถแยกเห็น กับได้ยิน ในขณะนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่สมบูรณ์ ถึงระดับที่สามารถจะประจักษ์ การเกิดขึ้นของสภาพธรรม และก็ดับไป และก็รู้ว่าสภาพธรรมอื่น ก็เกิดดับสืบต่อ

    แต่ว่าในขณะนี้ เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับว่าพร้อมกัน แต่ความจริงระหว่างเห็นกับได้ยิน มีจิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปที่กำลังปรากฏดับแล้ว เพราะว่ามีเห็นกับได้ยินสลับกัน โดยที่รูปที่เกิดก็ดับ ในระหว่างนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจริงๆ ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง และก็เป็นธรรม ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครบันดาลได้เลย แต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ แล้วก็ดับไป ทุกภพทุกชาติก็เป็นอย่างนี้ ชาตินี้ขณะเมื่อสักครู่นี้ ก็ไม่เหลือเลย และขณะที่กำลังมองเห็นขณะนี้ ก็กำลังดับอยู่เรื่อยๆ ไป เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ซึ่งเหมือนกับว่าเป็นของเรา มีเราเป็นเจ้าของ แต่ความจริง ก็คือ ไม่มีอะไรเหลือเลยสักขณะเดียว

    ผู้ฟัง อยากจะให้อธิบายตรงที่ว่า เมื่อบังเกิดขึ้น ในภายในของบุรุษ คำว่า เกิดขึ้นภายใน ก็คงจะไม่พ้นเรื่องของจิต เจตสิก แต่นี่ก็ยังไม่เข้าใจ ต้องขอให้อาจารย์ช่วยขยายความ

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ แล้วก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย อะไรเป็นภายใน ระหว่างจิตกับเจตสิก อาจจะต้องคิดนิดหน่อย ในที่สุด ยิ่งกว่าอื่น ก็คือ จิต เพราะว่าบางจิต มีเจตสิกชนิดนี้เกิดร่วมด้วย บางจิตมีเจตสิกอีกชนิดหนึ่งเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นสภาพของจิต โดยธรรมที่ใช้คำว่า หทัย ที่อยู่ใน หมายความถึง เป็นภายใน เป็นสภาพในที่สุดก็คือ ตัวจิต และก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่าจะเป็นเจตสิกชนิดใด แล้วจิตก็เป็นสภาพที่เฉพาะจิต จะกล่าวว่าเป็นกุศลหรืออกุศลไม่ได้ แต่ว่าเจตสิกที่เป็นฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย จิตจึงเป็นกุศล เจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม ให้โทษ เป็นอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตขณะนั้นก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นลักษณะของจิต เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แต่ไม่ใช่กุศล และอกุศล อกุศลต่อเมื่อ มีเจตสิกฝ่ายไม่ดีเกิดร่วมด้วย และกุศลต่อเมื่อ มีเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นภายใน ก็คือ ในจิต ของแต่ละจิตนั้นเอง

    ผู้ฟัง แสดงว่าเป็นเรื่องของเจตสิก ที่เกิดร่วมด้วยกับจิต

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง


    หมายเลข 10431
    31 ส.ค. 2567